บริการถ่ายภาพสุดประทับใจ

..คลิกที่รูป...บริการถ่ายภาพสุดประทับใจ prewedding รับปริญญา พิธีการต่าง แฟชั่น อีกมากมาย ติดต่อ : 0899274733 msn:tuchkay@hotmail.com

วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ยลศิลปะสามผสาน ที่"วัดโพธิ์แมน"


เทศกาลตรุษจีนเพิ่งจะผ่านพ้นไปแบบที่เรียกได้ว่ากลิ่นธูปยัง ไม่จาง เสียงประทัดยังไม่ทันหาย ดังนั้นการที่ฉันจะพามาเที่ยววัดจีนในวันนี้ก็เรียกว่ายังไม่ตกเทรนด์จนเกิน ไปนัก

อีกทั้งวัดจีนที่จะพามาชมในวันนี้ไม่ใช่วัดจีนหรือศาลเจ้าธรรมดาๆ แต่เป็นวัดจีนที่มีการผสมผสานของศิลปะแบบจีน-ไทย-ธิเบต ที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในวัดอื่นๆ ซึ่งวัดแห่งนั้นก็คือ "วัดโพธิ์แมนคุณาราม" หรือวัดโพธิ์แมน ในซอยสาธุประดิษฐ์ 19 นี่เอง

วัดโพธิ์แมน หรือที่เรียกเป็นภาษาจีนว่า "โพวมึ้งป่ออึงยี่" เป็นวัดจีนในพุทธศาสนานิกายมหายาน สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2502 โดยผู้สร้างวัดนี้ก็คือ พระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรฯ (โพธิ์แจ้งมหาเถระ) อดีตเจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปที่ 6 เจ้าอาวาสรูปแรกเป็นผู้นำสร้าง พร้อมด้วยข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนที่ศรัทธาก็ร่วมมือกันสร้างด้วย มาจนถึงวันนี้ก็นับอายุของวัดได้เกือบ 50 ปี แล้ว และเจ้าอาวาสปัจจุบันก็คือพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตร (เย็นเต็ก) เจ้าคณะใหญ่จีนนิกายรูปที่ 7

ความโดดเด่นของวัดโพธิ์แมนคุณารามนี้ก็เป็นอย่างที่ฉันกล่าวไปแล้วว่า อยู่ที่สถาปัตยกรรมภายในวัดที่เป็นศิลปกรรมแบบจีน-ไทย-ธิเบต ที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวงดงาม โดยพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรฯ (โพธิ์แจ้งมหาเถระ) เจ้าอาวาสรูปแรกนั้นเป็นผู้ออกแบบสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในวัดด้วยตนเอง จะงดงามแค่ไหนต้องลองไปชมกัน

จากซุ้มประตูใหญ่เดินเข้าไปสิ่งแรกที่จะเจอก็คือวิหารหน้า ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าอุโบสถ ด้านหน้าวิหารมีจารึกอักขระภาษาธิเบต ส่วนภายในเป็นที่ประดิษฐานพระศรีอารยเมตไตรย์โพธิสัตว์ และพระเวทโพธิสัตว์ที่อยู่ด้านหลัง อีกทั้งยังมีท้าวจตุโลกบาลอยู่ประจำ 4 มุมของวิหารด้วย ท้าวจตุโลกบาลนี้ก็เรียกว่าเป็นมหาเทพผู้รักษาโลกและพระพุทธศาสนา ซึ่งวัดพุทธในประเทศจีนนิยมสร้างไว้ในวิหาร

ท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 นั้นก็ได้แก่ ท้าวธตรฐมหาราช หรือธฤตราษฎระ (ถี่กกเทียงอ้วง) ทรงเครื่องทรงแบบขุนพลจีนโบราณ รูปกายสีแดง มือถือพิณ ส่วนท้าววิรุฬหกมหาราช หรือวิรูธกะ (เจงเชียงเทียงอ้วง) มีรูปกายสีขาว ถือร่ม องค์ถัดมาคือ ท้าววิรุฬปักข์มหาราช หรือวิรูปากษะ (ก่วงมักเทียงอ้วง) มีรูปกายสีดำ ถือกระบี่และงู และองค์สุดท้ายคือท้าวเวสสุวัณ (กุเวร) มหาราช หรือไวศรวณะ (ตอบุ๋งเทียงอ้วง) มีรูปกายสีเขียว ถือเจดีย์ไว้ในมือข้างหนึ่ง

สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวิหารหน้าจนครบแล้ว ฉันเดินผ่านเข้าไปยังอุโบสถของ วัดโพธิ์แมน ตอนนี้ละที่ฉันรู้สึกเหมือนผ่านเข้าไปในฉากหนังจีนอย่างไรอย่างนั้น เพราะนอกจากสถาปัตยกรรมและลวดลายแบบจีนของอุโบสถที่ตั้งอยู่ด้านหน้าแล้ว ก็ยังมีพระจีนในชุดจีวรสีส้มสดเดินผ่านไปเดินมาอีกต่างหาก แม้จะไม่มีการฝึกกำลังภายในกันที่ลานหน้าวัด แต่ก็พอจะได้บรรยากาศของสำนักเส้าหลินอยู่บ้าง

แต่ก่อนจะเข้าไปด้านในอุโบสถ ฉันขอชี้ชวนให้ชมความสวยงามด้านนอกเสียก่อน ลองเงยหน้าดูบนหลังคาโบสถ์ซึ่งเป็นหลังคาสามชั้นลดหลั่นกัน และบนหลังคาชั้นบนสุดมีเจดีย์ยอดฉัตรที่ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ ด้านล่างลงมายังมีตราธรรมจักร อีกทั้งยังมีกวางตัวเล็กตัวน้อยยืนอยู่ตามจุดต่างๆ บนหลังคาโบสถ์ การมีตราธรรมจักรและกวางนี้เองที่น่าจะเป็นส่วนผสมแบบไทย เพราะไม่ค่อยจะพบตราธรรมจักรและกวางในสถาปัตยกรรมแบบจีนเท่าไรนัก

และอย่าลืมสังเกตตราพระปรมาภิไธยย่อ "ภปร" ที่ประดิษฐานอยู่ที่หน้าบันของอุโบสถด้วย เพราะเป็นตราที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้เมื่อครั้งที่ พระองค์เสด็จพระราชดำเนินมาประกอบพิธียกฉัตรเจดีย์พระอุโบสถนั่นเอง

ด้านนอกอุโบสถว่างามแล้ว แต่ฉันว่าด้านในก็งามไม่แพ้กัน เมื่อเดินขึ้นบันไดเข้าสู่พระอุโบสถก็จะได้พบพระประธานองค์ใหญ่ที่มีชื่อว่า "พระพุทธวัชรโพธิคุณ" ซึ่งเป็นชื่อพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระประธานองค์นี้สีทองอร่าม ด้านข้างเป็นเสาสีแดงสดมีมังกรสีทองพันตัวรอบเสาดูน่าเกรงขาม และเมื่อมองไปด้านบนหลังคา หากเพ่งมองดีๆ จะเห็นหมู่พระพุทธรูป 1,000 องค์ ประดิษฐานอยู่ด้านบนด้วย

ส่วนผนังด้านข้างของอุโบสถทั้งสองด้านยังประดับตกแต่งด้วยรูปพระ อรหันต์ 500 รูปที่หากมองไกลๆ อาจจะดูเหมือนรูปวาดธรรมดา แต่เมื่อเดินมามองดูใกล้ๆ ก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วภาพนี้เป็นภาพโมเสกขนาดใหญ่สีสันสดใสสวยงามมากทีเดียว

และที่ประทับใจฉันยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ขณะที่ฉันเข้าไปกราบพระประธานและชมสิ่งต่างๆ ในโบสถ์นั้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่พระสงฆ์เข้ามาสวดมนต์พอดี ฉันจึงได้โอกาสนั่งฟังบทสวดภาษาจีนที่ฟังดูแปลกหูไปจากบทสวดภาษาบาลีที่เคย ได้ยินบ่อยๆ บทสวดมนต์ที่พระสงฆ์นิกายจีนสวดนี้ฟังๆ ไปก็คล้ายกับการร้องเพลง เพราะมีเสียงสูงเสียงต่ำ แถมยังมีการตีกลองให้จังหวะเสียอีก ฟังแปลกหู แต่ก็สร้างสมาธิได้เหมือนกัน

เมื่อพระสวดเสร็จฉันจึงเดินออกมาด้านนอกอุโบสถอีกครั้ง แล้วก็สังเกตเห็นว่าที่วัดวัดโพธิ์แมนฯ แห่งนี้แม้จะเป็นวัดจีน แต่รอบอุโบสถของวัดก็ยังมีใบเสมาซึ่งแสดงถึงอาณาเขตของการทำสังฆกรรมแบบ เดียวกับวัดไทย โดยมุมอุโบสถทั้ง 4 มุมจะมีใบเสมาหินอ่อนเหล่านี้อยู่ 2 ใบ ด้วยกัน ใบหนึ่งเป็นแกะสลักเป็นเครื่องหมายรูปวัชระธิเบต และอีกใบหนึ่งแกะสลักเป็นรูปท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 เป็นการผสมผสานระหว่างจีน-ไทย-ธิเบตที่เห็นได้ชัดเจน

แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นวัดจีนแล้วก็ต้องมีเทพเจ้าต่างๆ ที่ชาวจีนเคารพนับถือ ซึ่งก็อยู่ด้านหลังโบสถ์นั่นเอง ที่นี่ฉันได้สักการะพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ และพระกษิติครรภโพธิสัตว์ นอก จากนั้นที่ศาลาด้านหลังนี้ก็ยังมีสรีระของเจ้าคุณโพธิ์แจ้งมหาเถระ เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดโพธิ์แมนคุณาราม และผู้ออกแบบวัดที่ฉันกล่าวไปแล้วตอนต้น ให้สักการะกันด้วย

ภายในศาลาที่ประดิษฐานสรีระของเจ้าคุณโพธิ์แจ้งนั้นก็ยังมีประวัติ ของท่านอย่างละเอียด ทำให้ฉันได้ทราบว่าท่านเป็นชาวจีน เกิดเมื่อ พ.ศ.2444 ที่เมืองเก๊กเอี๊ย มณฑลกวางตุ้ง เมื่อบวชเข้ามาเป็นพระสงฆ์แล้วก็ได้บำเพ็ญเพียรปฏิบัติธรรม รวมทั้งเรียนรู้อรรถธรรมจากพระอาจารย์หลายท่าน จนนับได้ว่าเป็นปราชญ์และเป็นพระมหาเถระผู้มีเมตตาธรรมต่อประชาชนทั่วไป

ตลอดเวลาที่ท่านเป็นพระสงฆ์อยู่ในประเทศไทย ท่านได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการพระราชทาน เลื่อนสมณศักดิ์ถึง 7 วาระด้วยกัน ซึ่งในอดีตยังไม่เคยมีปรากฏว่ามีพระสงฆ์จีนนิกายรูปใดที่ได้รับเกียรติสูง เช่นนี้มาก่อน โดยสมณศักดิ์สูงสุดของท่านก็คือพระมหาคณาจารย์จีนธรรมสมาธิวัตรฯ นั่นเอง

ที่นี่จึงนับเป็นวัดจีนในกรุงเทพฯ ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งอีกหนึ่งแห่ง แม้จะเลยเทศกาลตรุษจีนไปแล้ว แต่ฉันเชื่อว่าหากได้มีโอกาสมากราบพระพร้อมกับชมศิลปะ จีน-ไทย-ธิเบต ที่วัดโพธิ์แมนคุณารามไปพร้อมกันแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

วัดโพธิ์แมนคุณาราม ตั้งอยู่ที่ 323 ถ.สาธุประดิษฐ์ ซอย 19 เขตยานนาวา กรุงเทพฯ 10120 หรือสามารถเข้ามาทางซอยนราธิวาสราชนครินทร์ 24 ได้ วัดเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 น. สอบถามโทร.0-2211-7885, 0-2211-2363

เที่ยววัด “แม่นาค” รำลึกตำนานรักอมตะ


ฉันเชื่อว่า หลายๆ คนที่เคยได้ยินได้ฟังประโยคอมตะอย่าง“พี่มากขาาาา.....” นอกจากจะออกอาการขนลุกแล้ว คงจะอดนึกถึงหนังผีไทยน่าสะพรึงขวัญ เรื่อง“แม่นาคพระโขนง”ไม่ ได้ ซึ่งนอกจากหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังผีที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศขนหัวลุกแล้ว หนังเรื่องแม่นาคพระโขนง ยังเป็นตำนานความรักอีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจผู้ชมอย่างมิรู้คลาย กับความรักที่มั่นคงของนางนาคที่มีต่อสามี แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากหัวใจรักของนางไปได้

และเนื่องในวันแห่งความรัก 14 กุมภาพันธ์ ฉันจึงถือเป็นโอกาสที่เหมาะสมเหมาะเจาะในการไปเยือนยัง “วัดมหาบุศย์” หรือที่มักนิยมเรียกกันอย่างติดปากว่า “วัดแม่นาคพระโขนง” เหตุที่เรียกเช่นนี้ เพราะภายในวัดมหาบุศย์ มีศาลแม่นาค หรือ “ย่านาค” ตั้งอยู่ ผู้คนจึงพากันเรียกว่า วัดแม่นาคพระโขนง

เล่ากันว่า วัดมหาบุศย์ เป็นวัดราษฎร์ที่เก่าแก่สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.2305 ในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดย พระมหาบุตร วัดเลียบ (วัดราชบูรณะ) ที่ได้เดินทางมาเยี่ยมญาติโยมของท่านในคลองพระโขนง ชาวบ้านรู้ข่าวจึงได้นิมนต์ให้อยู่ และนำสร้างวัดขึ้นโดยให้ชื่อว่า “วัดมหาบุศย์” ตามชื่อของท่าน และยังเป็นวัดที่มีส่วนเกี่ยวพันกับหนังผีคู่เมืองไทยอย่างเรื่องแม่นาค พระโขนงอีกด้วย

เมื่อฉันมาถึงยังวัดมหาบุศย์ ฉันเห็นป้ายชี้ทางไปยังศาลย่านาค จะใช้ชื่อ แม่นาค หรือ ย่านาค ก็เหมือนกัน แต่คนแถวนี้เขานิยมเรียกว่า ย่านาค ซึ่งศาลนี้เองเป็นเหมือนจุดมุ่งหมายของใครหลายๆ คน โดยเฉพาะคู่รัก และสำหรับฉัน...ที่นั่นก็เป็นหนึ่งในจุดหมายของการมายังวัดนี้เช่นกัน ก็จะปฏิเสธได้อย่างไร ในช่วงนี้เป็นเทศกาลแห่งความรัก ใครๆ ก็อยากขอพรกันทั้งนั้น

แต่ก่อนที่จะไปยังศาลย่านาค ฉันขอเข้าไปกราบขอพรจากหลวงพ่อยิ้ม ใน “วิหารหลวงพ่อยิ้ม” เสียก่อน เพราะอยู่ตรงด้านหน้าวัด วิหารนี้เป็นวิหารเล็กๆ ภายในประดิษฐานหลวงพ่อยิ้ม ลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย และพระพุทธรูปอีกหลายองค์ ฉันสังเกตว่า คนที่มากราบไหว้หลวงพ่อยิ้มมักจะเสี่ยงเซียมซีควบคู่ไปด้วย ฉันเองก็เลยไม่พลาดขอตั้งจิตอธิษฐานเสี่ยงโชคกับเขาบ้าง ปรากฏว่า ผลออกมาดีทำให้ฉันยิ้มหน้าบานมีกำลังใจขึ้นมาอย่างฉับพลันเลยทีเดียว

และที่ฉันสังเกตเห็นอย่างขำๆ อีกอย่าง ก็คือ ไม่ใช่แต่คนเท่านั้นที่มากราบไหว้ขอพรหลวงพ่อยิ้ม แม้แต่แมวเหมียวก็เข้าไปนั่งตั้งจิตอธิษฐานอยู่ข้างๆ หญิงสาวที่มานมัสการหลวงพ่อ หลังจากที่หญิงคนนั้นลุกออกมา แมวตัวนั้นก็เดินเนิบๆ ออกมาด้วย จากภาพที่เห็นมันช่างเป็นความบังเอิญที่ดูน่ารักน่าขันยิ่งนัก เอ..หรือจะเป็นเรื่องจริง ฉันก็ไม่อาจรู้ได้

ถัดจากวิหารหลวงพ่อยิ้มไปเป็น “อุทยานพระโพธิสัตว์กวนอิม” ภาย ในประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ตั้งอยู่กลางแจ้งแต่มากด้วยร่มไม้ทำให้ดูร่มรื่นสบายตา ฉันแวะไหว้เจ้าแม่ พร้อมทั้งท่องบทบูชาเจ้าแม่กวนอิมที่แปะอยู่ตรงหน้า แต่เพราะภาษาเป็นภาษาไทยที่แปลมาจากภาษาจีน ฉันจึงต้องผันวรรณยุกต์ ตัวสะกดกันจนหน้ามืด

หลังจากพยายามอ่านบทบูชาอยู่นานสองนาน ฉันก็เดินต่อไปยังโบสถ์ แต่ระหว่างทางฉันสังเกตเห็นสวนหย่อมเล็กๆ ข้างทางมีตุ๊กตาปูนปั้นน่ารักๆ อยู่มากมาย เมื่อฉันเดินไปใกล้ๆ ก็ได้ยินคุณยายเล่าให้หลานสาวตัวเล็กๆ ที่พามาเดินเล่นในวัด ว่า “..ตัวสีดำนี้คือเจ้าเงาะ และนางรจนา..” พร้อมทั้งเล่านิทานตอนนางรจนาเสี่ยงพวงมาลัยเลือกคู่

ฉันอมยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจ เพราะสวนเล็กๆ ที่เห็นนั้นเป็นเหมือน “สวนเล่าเรื่อง” ที่ มีทั้งเจ้าเงาะป่าตัวดำ กับนางรจนา ชูชก กับกัณหา-ชาลี ตอนที่ กัณหา-ชาลี หลบชูชกอยู่ใต้ใบบัวในสระ หรือจะเป็นสังข์ทอง พระอภัยมณี และยังมีรูปปั้นการละเล่นไทยๆ เช่น งูกินหาง เป่าหนังยาง อีกด้วย

จากสวนเล่าเรื่อง ฉันไปหยุดยังหน้าโบสถ์ เพราะไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ เนื่องจากทางวัดไม่เปิดให้บุคคลภายนอกเข้า จะเปิดก็แต่เมื่อเวลาพระท่านทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เท่านั้น ฉันก็ได้แต่ยืนพนมมือสาธุอยู่ข้างนอกประตูโบสถ์ เพราะฉันถือว่า ไหว้พระอยู่ที่ใจ อยู่ที่ไหนๆ ก็ไหว้ได้ แต่ถ้าให้ดีเข้าไปนั่งสงบจิตสงบใจอยู่ในวัดก็จะทำให้จิตเราสงบและมีสมาธิมาก ขึ้น

ถัดจากโบสถ์ ฉันเดินตามป้ายบอกทางเข้าไปยังริมน้ำคลองประเวศบุรีรมย์ ซึ่งมี “ศาลย่านาค” ตั้งอยู่ เมื่อฉันเข้ามาถึงเห็นผู้คนมากมายมาจุดธูปจุดเทียนขอพรจากย่านาค ส่วนมากจะเป็นเด็กหญิงรุ่นๆ ที่มาเป็นคู่ชายหญิงก็มีให้เห็นเหมือนกัน อาจจะเพราะช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลแห่งความรัก ก็ได้กระมัง จึงได้เห็นวัยรุ่นหนุ่มสาวมากราบไหว้ขอพรกันอย่างหนาตา

ผ้าเจ็ดสีเจ็ดศอกที่พันอยู่รอบต้นไม้อย่างหนาแน่น ชุดไทย ชุดเด็ก ของเล่นเด็ก รวมถึงรูปวาดแม่นาค มีให้เห็นมากมายภายในศาลย่านาคแห่งนี้ เท่าที่ฉันได้พูดคุยกับเด็กๆ วัยรุ่นที่มาขอพรจากย่านาค เด็กๆ บอกว่า นอกจากศาลย่านาคแห่งนี้แล้วข้างๆ ยังมีศาลเจ้าแม่ตะเคียนทองอยู่ด้วย คนที่มาจะนิยมมาขอพรในหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องการงาน การเรียน โชคลาภ แต่ที่โดดเด่นก็คงจะเป็นเรื่องของความรัก เพราะตามตำนานเรื่องแม่นาคพระโขนงเขาเล่ากันมาว่า...

ที่ริมคลองวัดมหาบุศย์ มีเรือนหลังเล็กๆ ไกลผู้คน ชาวบ้านต่างรู้จักกันดีว่า นี่คือ เรือนของแม่นาคกับทิด มาก แม้ว่าจะยากจน แต่ว่าก็เป็นคู่ผัวเมียที่รักกันมาก ในช่วงที่แม่นาคตั้งท้อง บ้านเมืองเกิดศึกสงคราม ทิดมากถูกเรียกไปเป็นทหารเกณฑ์ ยังไม่ทันพ้นทหารกลับมานางนาคต้องมาสิ้นใจตายทั้งกลม!! เพราะทนความเจ็บปวดจากการคลอดลูกไม่ไหว เมื่อตายแล้วพวกชาวบ้านช่วยกันเอาศพของนางไปฝังไว้ที่ใต้ต้นตะเคียนคู่ แต่ด้วยความรักผัว จึงไม่ยอมไปผุดไปเกิด เฝ้ารอวันที่ผัวจะกลับมา

จากนั้นก็มักจะมีคนเห็นว่า นางนาคออกมาสำแดงตนให้เห็นอยู่บ่อยๆ บางทีก็เห็นมาผูกเปลกับต้นตะเคียนคู่ แล้วจะเห่กล่อมลูกด้วยเสียงที่โหยหวน ชาวบ้านพากันหวาดกลัวผีแม่นาคเป็นอันมาก จนเมื่อถึงวันที่ทิดมากได้กลับมาบ้านเห็นแม่นาคนั่งกล่อมลูกอยู่ที่ชานหน้า บ้าน ด้วยความดีใจรีบวิ่งไปหาลูกเมีย แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อตัวของนางนาคเย็นผิดปกติ แม่นาคเหมือนจะอ่านใจผัวออก รีบยกสำรับข้าวปลาอาหารออกมารับขวัญ

และตั้งแต่นั้นมาทิดมากกับนางนาค ก็อยู่กินกันตามปกติเหมือนเดิม แม้จะมีชาวบ้านแอบมาบอกว่า นางนาคตายแล้วทิดมากก็ไม่ยอมเชื่อ และยังตามหลอกหลอนผู้ที่มาบอกความจริงกับผัวของตน จนกระทั่งวันหนึ่งทิดมากนั่งอยู่ใต้ถุนบ้าน ส่วนนางนาคก็กำลังทำกับข้าวตำน้ำพริกอยู่ในครัวบนเรือน เผอิญทำมะนาวหลุดมือหล่นไปใต้ถุนบ้าน นางนาครีบหย่อนมือที่ยาวเฟื้อยผิดจากปกติลงไปเก็บด้วยความรวดเร็ว ทิดมากเห็นดังนั้นก็ตกใจมากจนหนีไปพึ่งวัด

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆัง ท่านรู้ข่าวการอาละวาดของผีแม่นาค ซึ่งก่อความหวาดกลัวและเดือดร้อนแก่ชาวบ้านเป็นอย่างมาก แม้แต่หมอผีเก่งๆ ก็ยังพ่ายแพ้ ท่านจึงลงไปค้างที่วัดมหาบุศย์ และเรียกนางนาคขึ้นมาคุยกัน ผลสุดท้ายท่านเจาะเอากระดูกหน้าผากของนางมาลงยันต์ และทำเป็นปั้นเหน่งคาดเอว ผีนางนาคก็ไม่ออกมาอาละวาดอีกเลย

จากนั้น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ได้ประทานกระดูกหน้าผากนางนาคให้กับหม่อมเจ้าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (ทัต) เก็บรักษาไว้ และต่อมาก็ได้ประทานต่อให้ หลวงพ่อพริ้ง (พระครูวิสุทธิ์ศีลาจารย์) อีกต่อ จนมาถึงกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ไม่นานนักแม่นาคก็มากราบลา จากนั้นก็ไม่มีใครพบกระดูกหน้าผากของแม่นาคอีกเลย

นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆ ตำนานแม่นาคพระโขนงที่เล่าต่อๆ กันมา ส่วนจะมีจริงหรือเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ และใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นสิทธิของแต่ละคน แต่ที่ตำนานแม่นาคพระโขนงคงความอมตะมาจนถึงทุกวันนี้ได้ นอกจากเรื่องชวนขนหัวลุกแล้ว ตำนานแห่งความรักที่มั่นคงของแม่นาคต่อทิดมากนั้นถือเป็นหนึ่งในตำนานรัก อมตะของเมืองไทยที่น่าเทิดทูนยกย่องเป็นอย่างยิ่ง

...ความตายแม้พรากจาก แต่ความรักของแม่นาคยังคงอยู่เป็นนิรันดร์...

วัดมหาบุศย์ 749 หมู่ที่ 11 ซ.อ่อนนุช 7 ถ.สุขุมวิท 77 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ 10250 การเดินทางสามารถลงรถไฟฟ้าสถานีอ่อนนุช แล้วเดินย้อนขึ้นไปปากซอยอ่อนนุชประมาณ 400 เมตร จากปากซอยอ่อนนุช เข้าไปประมาณ 500 เมตร ถึงซอยอ่อนนุช 7 ปากซอยจะมีป้ายวัดมหาบุศย์ เดินเข้าไปอีกประมาณ 100 เมตร ถึงวัดมหาบุศย์ โทร.0-2311-3636, 0-2311-2183

เที่ยวไปกับจักรยาน…ตะลุยย่านบางมด


การเดินทางท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ นั้นก็มีหลายแบบ จะนั่งรถเมล์เที่ยวก็ได้ นั่งเรือเที่ยวก็เย็นสบายดี หรือจะเดินเท้าท่องเที่ยวก็ได้ใกล้ชิดธรรมชาติไม่น้อย แต่สำหรับทริปนี้ฉันจะขอเปลี่ยนบรรยากาศมาลองขี่จักรยานเที่ยวดูบ้าง เพราะนอกจากจะไม่ใช่ใช้น้ำมันแล้วยังเป็นการออกกำลังกายไปในตัว ขี่ไป ชมวิวไป หากเหนื่อยนักก็พักเสียก่อนไม่ได้เร่งรีบร้อนรนไปไหน

ยิ่งเมื่อทางกองการท่องเที่ยวกรุงเทพฯ กับกรุงเทพมหานคร ได้ทำเส้นทางขี่จักรยานท่องเที่ยวย่านบางมดเพื่อให้ประชาชนได้ออกกำลังกาย เมื่อมีโอกาสเหมาะฉันจึงไปยืมจักรยานเพื่อนมาปั่นกินลมชมวิวร่วมกับสมาชิก นักปั่นจำนวนหนึ่ง

การขี่จักรยานนั้นแน่นอนว่าจะได้รับสายลมแสงแดดอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องเตรียมตัวก่อนไปขี่จักรยานนั้นก็คือต้องเตรียม เสื้อผ้าให้เหมาะสม ควรเป็นเสื้อแขนยาวที่ระบายความร้อนได้ดี เพื่อป้องกันแสงแดดและทำให้เราไม่ร้อนจนเกินไป กางเกงที่ใส่หากเป็นกางเกงสำหรับขี่จักรยานโดยเฉพาะก็จะดีมาก เพราะจะทำให้ขี่ได้นานโดยไม่เมื่อย สวมหมวกกันแดดอีกใบ จากนั้นก็เตรียมไปลุยย่านบางมดกันได้เลย

เราเริ่มต้นขี่จักรยานจากสวนธนบุรีรมย์ใน ตอนเช้าที่อากาศกำลังดี วิ่งไปตามถนนพุทธบูชา มุ่งหน้าไปที่ซอยประชาอุทิศ 69 มาดูฟาร์มแพะกันก่อนเป็นที่แรก น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่ในกรุงเทพฯ จะมีฟาร์มเลี้ยงสัตว์ ทั้งที่จริงๆ แล้วน่าจะอยู่ตามชานเมืองหรือที่ต่างจังหวัดมากกว่า ส่วนเหตุที่มีฟาร์มแพะอยู่ในแถบนี้ก็เนื่องจากว่าชาวชุมชนในย่านนี้เป็นชาว ไทยอิสลามอยู่รวมกันค่อนข้างหนาแน่น จึงนิยมเลี้ยงแพะไว้กินเนื้อแทนหมูนั่นเอง

ที่นี่มีฟาร์มแพะอยู่ถึง 2 ฟาร์มด้วยกัน และฟาร์มแห่งแรกที่ฉันแวะมาเยือนเป็นแห่งแรกนี้ก็เป็นฟาร์มแพะเนื้อ ที่บรรดาผู้เลี้ยงแพะมารวมตัวกันในชื่อว่า "กลุ่มเกษตรเลี้ยงสัตว์ทุ่งครุ" ซึ่งก็มีทั้งแพะและแกะมาเลี้ยงรวมกัน ฉันเองก็ไม่ค่อยจะได้คลุกคลีสัมผัสกับสัตว์ประเภทนี้สักเท่าไร แต่มาวันนี้ก็ได้มาใกล้ชิดถึงขนาดได้ "จับแพะ" (แบบที่ตำรวจชอบทำ) จึงได้รู้ว่าแพะนี่ก็เป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ที่น่ารักไม่ใช่น้อย แต่ก็น่าสงสารที่บรรดาแพะเหล่านี้จะต้องถูกกิน

นอกจากจะได้ชมและจับแพะแล้ว ที่นี่ก็ยังมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับแพะๆ มาขาย ทั้งสบู่ ครีมอาบน้ำ โลชั่นบำรุงผิว และครีมหน้าขาวที่ทำมาจากนมแพะ ถ้าอยากลองว่าผลิตภัณฑ์จากแพะใช้ดีแค่ไหนก็ลองมาซื้อกันได้ที่นี่

จากฟาร์มแพะเนื้อ มาที่ฟาร์มแพะนมบ้าง ฟาร์มที่นี่ชื่อว่า "ซาอุดี้ฟาร์ม" มีแพะอยู่มากกว่า 300 ตัว อยู่รวมกันในโรงเลี้ยงขนาดใหญ่ที่กั้นแบ่งเป็นคอกๆ ส่วนมากเป็นแพะสีขาวสะอาด มีทั้งแม่แพะและลูกแพะอยู่ในคอกเดียวกัน

นมแพะนี้เขาว่ามีประโยชน์มาก มีคุณค่าทางอาหารเทียบเท่ากับน้ำนมคน และดูดซึมสู่ร่างกายได้ง่ายกว่านมวัว แถมยังมีเอนไซม์ วิตามินและแร่ธาตุที่ช่วยปรับระดับไขมันในเลือด และรักษาโรคต่างๆ ได้อีกมากมาย ว่าแล้วก็ดื่มนมแพะจากฟาร์มซักขวดหนึ่งดีกว่า

ได้นมแพะเพิ่มพลังทำให้มีแรงขี่จักรยานเต็มร้อย ฉันปั่นต่อยัง "วัดพุทธบูชา" เพื่อแวะไหว้พระ สำหรับวัดแห่งนี้มีประวัติการสร้างอยู่ว่า นายเล็กและนางทองคำ เหมือนโค้ว เป็นผู้ยกที่ดินให้สร้างวัดขึ้นในปี พ.ศ.2497 ฉันเลี้ยวรถเข้าไปในบริเวณวัดเพื่อแวะไปไหว้พระประธานในโบสถ์ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่จำลองแบบมาจากพระพุทธชินราช พระคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดพิษณุโลกมาเป็นพระประธานในอุโบสถวัดพุทธบูชา แห่งนี้

ได้พักไหว้พระสบายๆ แล้วก็อย่าลืมเดินไปด้านหลังโบสถ์ซึ่งอยู่ติดกับคลองบางมด ในคลองแห่งนี้เต็มไปด้วยปาชนิดต่างๆ เช่น ปลาสวาย ปลาเทโพ ฯลฯ ใครอยากทำบุญให้อาหารปลาที่นี่ต่อก็ได้ โดยที่ท่าน้ำวัดพุทธบูชานี้สามารถนั่งเรือหางยาวชมทัศนียภาพสองฝั่งคลอง บางมดได้ หรือจะนั่งยาวไปออกที่ชายทะเลกรุงเทพฯ ก็ยังได้ด้วย

แต่ตอนนี้ฉันยังไม่อยากนั่งเรือ จึงขอเดินทางด้วยจักรยานต่อไปที่ "วัดยายร่ม" เอ... ยายร่มนี่เป็นใครกันหนอ ถ้าอยากรู้ต้องรีบๆ ปั่นไปดูแล้วล่ะ แต่ระยะทางจากวัดพุทธบูชาไปที่วัดยายร่มนี่ไกลพอดูเชียวล่ะ เพราะฉะนั้น ก้มหน้าก้มตาปั่นกันต่อไปดีกว่า

ไม่นานเราก็เดินทางมาถึงวัดยายร่มจนได้ วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่แห่งหนึ่ง มีอายุกว่า 200 ปีแล้ว คือสร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.2365 เดิมมีชื่อว่าวัดจุฬามณี แต่ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อตามชื่อคนสร้าง ก็คือยายร่มซึ่งเป็นชาวบางมดนี่เอง วัดแห่งนี้แม้จะเป็นวัดเก่าแก่แต่ก็ไม่เหลือสิ่งก่อสร้างเก่าๆ แล้ว แต่ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจ เช่น โบสถ์ของวัดยายร่มนั้นมีความงดงามแปลกจากวัดอื่นๆ โดยพระครูโสภิตบุญญาทร เจ้าอาวาสวัดได้นำรูปแบบงานแกะสลักไม้แบบล้านนามาใช้แทนการวาดจิตรกรรมฝา ผนัง โดยได้นำช่างจากอำเภอสันกำแพง และอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่มาเป็นผู้แกะสลัก

ไม้ที่นำมาแกะสลักนั้นก็คือไม้สัก แต่ละแผ่นนั้นก็ต้องใช้เวลาและความประณีตเป็นอย่างมาก บางแผ่นใช้เวลาถึง 6 เดือนเลยทีเดียว และเมื่อแกะเสร็จแล้วไม้จำหลักเหล่านั้นก็ถูกนำมาติดไว้ภายในโบสถ์ทั้งหลัง จึงนับว่าเป็นโบสถ์ที่งดงามและน่าสนใจอีกหลังหนึ่งของเขตจอมทอง

และในบริเวณวัดยายร่มนี้ ก็ยังเป็นที่ตั้งของ "พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเขตจอมทอง" อีกด้วย ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะบอกถึงเรื่องราวต่างๆ ในเขตจอมทองทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้มีการขุดคลองด่าน ขึ้นในเขตจอมทอง ทำให้วิถีชีวิตของชาวบ้านแถบนี้ผูกพันกับคลองมาเป็นเวลานาน

พิพิธภัณฑ์นี้ยังทำให้ฉันรู้ว่า วิถีชีวิตของชาวชุมชนเขตจอมทองนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะประกอบอาชีพทำสวน โดยสวนส้มบางมดนั้นถือเป็นผลิตภัณฑ์ชื่อดังที่เคยได้ยินชื่อเสียงกันมาเป็น เวลานานแล้ว แม้ว่าจะมีบางช่วงที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมจนทำให้สวนส้มบางมดแทบจะสูญพันธุ์ ไป แต่ปัจจุบันก็ได้มีการปลูกส้มบางมดขึ้นในหลายพื้นที่เพื่อให้ชาวสวนส้มรักษา พันธุ์ส้มของตนเอาไว้

และนอกจากการทำสวนแล้ว ในเขตจอมทองนี้ก็ยังเคยมีการปลูกข้าวอีกด้วย เรียกว่าเป็นนาสวน คือปลูกข้าวไว้ในร่องสวนเพื่อกินเองในครอบครัว ไม่เสียพื้นที่ว่างในสวนแถมยังมีข้าวกินอีกต่างหาก แต่ปัจจุบันนี้ก็ไม่มีนาข้าวในเห็นแล้วล่ะ ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับเขตจอมทองมากกว่านี้ก็ต้องมาเยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์นี้เองเสียแล้ว

มาปิดเส้นทางขี่จักรยานกันที่ "วัดหลวงพ่อโอภาสี" ในซอยพุทธบูชา 39 หลวงพ่อโอภาสีนี้เป็นพระสงฆ์ที่เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั่วไปเป็น อย่างมาก ท่านบำเพ็ญเพียรทางจิตด้วยการเพ่งพระอาทิตย์ บูชาไฟเพื่อทำเตโชกสิณ เล่ากันว่าท่านนำข้าวของทั้งหลายที่ญาติโยมถวายมาเผาไฟ เพื่อแสดงถึงการตัดกิเลสทั้งหลาย เพราะท่านถือว่า จิตใจของมนุษย์นั้นถูกเผาผลาญด้วยไฟราคะแห่งกิเลสซึ่งไม่สามารถต้านทานได้ นอกจากจะกลายเป็นเถ้าถ่าน มีเพียงการตายเท่านั้นจึงจะหลุดพ้น

แต่เดิมนั้นหลวงพ่อโอภาสีอาศัยอยู่ที่วัดบวรนิเวศ และได้เดินทางมาแสวงหาที่สงบปฏิบัติธรรมที่ละแวกนี้ เมื่อก่อนนี้คนเรียกวัดหลวงพ่อโอภาสีว่าสวนอาศรมบางมด จนเมื่อได้มีการออกประกาศจัดตั้งให้เป็นวัดเมื่อปี พ.ศ.2536 นี้เอง

สำหรับตัวหลวงพ่อนั้นได้มรณภาพไปตั้งแต่ปี พ.ศ.2498 สังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย และยังเก็บไว้ให้ผู้ที่ศรัทธามากราบไหว้กัน โดยอยู่ภายในองค์เจดีย์หลวงพ่อโอภาสีนั่นเอง และมีประชาชนเดินทางมาบูชาถึงที่วัดเป็นจำนวนมาก

ฉันจบเส้นทางขี่จักรยานด้วยร่างกายที่ค่อนข้างระบมเนื่องจากไม่ได้ ออกกำลังกายบ่อยนัก แต่ก็เชื่อว่าถ้าได้ขี่จักรยานบ่อยๆ เข้าก็ สิ่งหนึ่งที่จะได้แน่ๆ ก็คือร่างกายที่แข็งแรง และก็จะได้ท่องเที่ยวกรุงเทพฯ ในอีกบรรยากาศหนึ่งที่สนุกสนานไม่น้อยเลยทีเดียว

สอบถามเส้นทางขี่จักรยานท่องเที่ยวครั้งหน้าได้ที่ กองการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานคร โทร.0-2225-7612 ถึง 4

เที่ยว“วัดหมู”ดูพระประธาน 28 องค์แห่งเดียวในเมืองกรุงฯ


หลังจากที่ได้รู้จักกับเรื่องหมูๆ ในกรุงเทพฯ กันไปในตอนที่แล้ว วันนี้ฉันยังเหลืออีกหนึ่ง “หมู” ที่ยังไม่ได้แนะนำให้รู้จักกัน นั่นก็คือ “วัดหมู” หรือ “วัดอัปสรสวรรค์” นั่นเอง

วัดแห่งนี้เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยใดนั้นยังไม่สามารถระบุหลัก ฐานที่แน่ชัดได้ รู้แต่สาเหตุที่เรียกวัดนี้ว่าวัดหมูนั้นก็เนื่องจากว่า ผู้สร้างวัดแห่งนี้เป็นชาวจีนชื่ออู๋ มีอาชีพเลี้ยงหมูเป็นผู้สร้างขึ้น เมื่อมีวัดแล้วหมูเหล่านั้นก็มาเดินเพ่นพ่านเต็มลานวัด ชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดหมูกันมาตั้งแต่นั้น แม้ภายหลังไม่มีหมูมาเดินแล้วก็ยังเรียกกันว่าวัดหมูต่อมา

ภายหลังจากที่จีนอู๋สร้างวัดนี้ขึ้นแล้ว เวลาล่วงไปวัดก็ทรุดโทรมลงไปตามกาล จนมาถึงในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าจอมน้อย (สุหรานากง) เห็นว่าวัดหมูทรุดโทรมมาก จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า อยู่หัว เพื่อปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ พระองค์จึงได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้สถาปนาวัดนี้ขึ้นใหม่ทั้ง วัด

และหลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์เพิ่มอีก และในครั้งนั้นก็ได้พระราชทานชื่อวัดให้ใหม่ว่า “วัดอัปสรสวรรค์” เพื่อเป็นที่ระลึกแด่เจ้าจอมน้อย ซึ่งมีความสามารถในการแสดงละครเรื่องอิเหนา เป็นตัวสุหรานากงได้ดี จนได้รับฉายาว่า เจ้าจอมน้อยสุหรานากง และในการบูรณะครั้งนี้ ทำให้วัดอัปสรสวรรค์ กลายมาเป็นวัดที่มีความพิเศษหนึ่งเดียวในเมืองไทย

ฉันไปถึงวัดอัปสรสวรรค์ในตอนสายๆ ภายในวัดค่อนข้างเงียบผู้คนบางตา ไม่คึกคักเหมือนกับวัดข้างเคียงอย่างวัดปากน้ำภาษีเจริญที่มีคนแวะเวียนไป มากมายทุกวัน

เมื่อฉันไปถึง อย่างแรกที่ทำก็คือเข้าไปกราบพระในพระอุโบสถก่อนเป็นอย่างแรก พระอุโบสถวัดอัปสรสวรรค์นี้ขนาดไม่ใหญ่โตนัก สร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบจีน ซึ่งเป็นแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ 3 หน้าบันไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันมีลายประดับปูนปั้นแบบจีน กล่าวกันว่าสร้างคล้ายกับที่วัดราชโอรสารามฯ วัดประจำรัชกาลที่ 3

สำหรับความพิเศษหนึ่งเดียวในเมืองไทยของวัดหมูนั้นอยู่ภายในพระ อุโบสถ นั่นก็คือ แทนที่พระประธานจะมีเพียงองค์เดียวเหมือนกับโบสถ์วัดอื่นๆทั่วไป แต่ภายในอุโบสถนี้ก็กลับมีพระประธานอยู่มากถึง 28 องค์ด้วยกัน ซึ่งพระพุทธรูปเหล่านี้ รัชกาลที่ 3 เป็นผู้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น

เหตุที่สร้างพระพุทธรูปมากถึง 28 พระองค์ ก็เพื่อแทนพระพุทธเจ้าที่ได้เกิดขึ้นมาในชาติภาพต่างๆ รวมแล้ว 28 พระองค์ ได้แก่ พระพุทธตัณหังกร พระพุทธเมธังกร พระพุทธสรณังกร พระพุทธทีปังกร พระพุทธโกณฑัญญะ พระพุทธสุมังคละ พระพุทธสุมนะ พระพุทธเรวตะ พระพุทธโสภิตะ พระพุทธอโนมทัสสี พระพุทธปทุมะ พระพุทธนารทะ พระพุทธปทุมุตตระ พระพุทธสุเมธะ พระพุทธสุชาตะ พระพุทธปิยทัสสี พระพุทธอัตถทัสสี พระพุทธธรรมทัสสี พระพุทธสิทธัตถะ พระพุทธติสสะ พระพุทธปุสสะ พระพุทธวิปัสสี พระพุทธสิขี พระพุทธเวสสภู พระพุทธกกุสันธะ พระพุทธโกนาคมนะ พระพุทธกัสสปะ และพระพุทธโคตมะ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าที่เราได้เรียนรู้เรื่องราวของพระองค์

พระพุทธรูปทั้ง 28 พระองค์นี้ เป็นปางมารวิชัย หล่อขึ้นให้มีขนาดเท่าๆ กัน วางเรียงตั้งลดหลั่นกันลงมาเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมงดงามแปลกตาไม่มีวัดไหนใน ประเทศไทยและวัดไหนในโลกจะมีเหมือน และถ้าอยากจะรู้ว่าองค์ไหนเป็นองค์ไหนก็ดูได้จากตัวอักษรจารึกพระนามอยู่ที่ ฐานพระพุทธรูปแต่ละองค์ แต่จะไปชะเง้อชะแง้หรือปีนป่ายดูก็ใช่ที่ เอาเป็นว่าฉันจะบอกให้ว่าองค์ที่อยู่ด้านบนสุดนั้นคือพระพุทธเจ้าองค์แรก หรือพระพุทธตัณหังกร ส่วนองค์ที่อยู่ด้านหน้าสุดของแถวล่างก็คือ พระพุทธโคตมะ หรือพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนั่นเอง

และด้วยความที่วัดแห่งนี้เป็นเพียงแห่งเดียวที่มีพระประธาน 28 พระองค์ ที่วัดนี้จึงมีบทสวดมนต์พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ ซึ่งเป็นบทสวดมนต์เฉพาะของวัดอัปสรสวรรค์ ซึ่งจะใช้สวดทุกครั้งที่ทำวัตรเช้าเย็น และจะเพิ่มบทสวดนี้เป็นกรณีพิเศษด้วยในการสวดมนต์ในพิธีการต่างๆ

ด้วยความพิเศษที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวเช่นนี้ พระพุทธรูปประธาน 28 องค์ ในพระอุโบสถวัดอัปสรสวรรค์จึงถูกยกย่องให้เป็น “อันซีน บางกอก” ไปด้วยประการฉะนี้
ส่วนที่ตั้งอยู่ข้างๆ พระอุโบสถนั้นก็คือพระวิหาร เป็นศิลปะแบบจีนเช่นเดียวกัน ภายในมีพระพุทธรูปอยู่สององค์ เป็นพระปางมารวิชัยทั้งสององค์ และในภายหลังได้มีผู้มาสร้างรูปหล่อนางสุชาดา กำลังถวายข้าวมธุปายาสแก่พระพุทธเจ้าด้วย

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของพระวิหารวัดอัปสรสวรรค์ก็คือภาพ ทวารบาลที่ประตูวิหาร ซึ่งเขียนลงรักปิดทองเป็นรูปนางฟ้ากำลังเพลิดเพลินอยู่ในสระบัว ดูอ่อนช้อยงดงามสมกับชื่อวัดอัปสรสวรรค์ ต่างจากวัดอื่นๆ ที่มักทำเป็นรูปเทวดาหรือทหารที่ดูขึงขังมากกว่า

และระหว่างพระอุโบสถและพระวิหารนั้น เป็นที่ตั้งของพระมณฑปสีขาวองค์ไม่ใหญ่นัก แต่ภายในนั้นเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางฉันสมอ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไว้ พระพุทธรูปองค์นี้กล่าวว่าได้มาจากเวียงจันท์ ซึ่งอัญเชิญลงมายังกรุงเทพฯ พร้อมๆ กับพระบรมธาตุ พระบาง และพระแซกคำ

พระพุทธรูปปางฉันสมอนี้ปางคนอาจจะยังไม่คุ้นหูนัก ฉันจึงอยากขออธิบายถึงที่มาหน่อยหนึ่งว่า หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสวยวิมุติสุข หรือตรัสรู้ได้ 7 สัปดาห์แล้ว ยังไม่ได้เสวยพระกระยาหารเลย ท้าวสักกอมรินทราธิราชจึงได้นำผลสมอ หรือลูกสมอซึ่งเป็นทิพย์โอสถไปถวาย พระพุทธจริยาที่เสวยผลสมอนั้นจึงถูกนำมาสร้างเป็นพระพุทธรูปปางฉันสมอนั่น เอง

แต่พระพุทธรูปปางฉันสมอในพระมณฑปนี้ เจ้าอาวาสได้อัญเชิญไปเก็บรักษาไว้บนกุฏิ และได้นำองค์จำลองมาประดิษฐานไว้แทนเพื่อความปลอดภัย

จากนั้นฉันเดินข้ามถนนสายเล็กๆ ภายในวัดมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าหอไตรเก่าแก่กลางน้ำของวัด หอไตรแห่ง นี้สร้างอยู่กลางสระน้ำเพื่อป้องกันมอดปลวกจะมากัดแทะหนังสือเสียหาย พูดถึงลวดลายของหอไตรแห่งนี้แล้วก็สวยงามมากทีเดียว ฝาผนังประดับกระจก ส่วนบานประตูและหน้าต่างก็เขียนด้วยลายรดน้ำ แม้จะดูเก่าแก่ไปมากแต่ก็ยังคงความสวยงามให้เห็น โดยหอไตรนี้ยังเป็นต้นแบบของ “หอเขียน” ที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาดอีกด้วย

นอกจากนั้น บริเวณด้านหน้าของพระอุโบสถและพระวิหาร ก็ยังมีพระปรางค์องค์สูงใหญ่ก่ออิฐถือปูนเก่าแก่ สร้างขึ้นคู่กับวัด พระปรางค์องค์นี้มีความสูงประมาณ 15 วา และใกล้ๆ กันนั้น ก็เป็นศาลาท่าน้ำริมคลองด่าน ที่สามารถซื้อขนมปังให้อาหารปลาตรงนี้ก็ได้ หรือใครอยากจะยืนชมวิว ชมเรือหางยาวที่แล่นพานักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศชมคลองก็ได้เช่นกัน

วัดอัปสรสวรรค์ ตั้งอยู่ที่ 174 ถ.เทอดไท แขวงปากคลองภาษีเจริญ กรุงเทพฯ 10160 พระอุโบสถและพระวิหารเปิดให้เข้าชมทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.30-16.00 น. สอบถามรายละเอียดโทร.0-2467-5392, 0-2458-0917

การเดินทาง สามารถนั่งรถประจำทางสาย 4, 9, 10, 175 มาจนสุดสาย จากนั้นเดินต่อไปอีกประมาณ 500 เมตร มีป้ายบอกทางไปจนถึงวัด

เที่ยวย้อนอดีต ที่ "บางลำพู"


แม้จะผูกพันและคุ้นเคยกับย่านบางลำพูมาช้านานเพราะที่ทำ งานอยู่ใน ละแวกนี้ แต่จะว่าไปแล้วบางลำพูยังมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจให้เที่ยวชม ค้นหา ยิ่งได้คนเก่าคนแก่แห่งบางลำพูพาไปเที่ยวชม ดังเช่นทริปนี้ที่โชคดีมากๆเมื่อ คุณป้านิด อรศรี ศิลปี ประธานประชาคมบางลำพู ที่ผูกพันอยู่ในย่านนี้มานานถึง 74 ปี ขันอาสาเป็นไกด์กิตติมศักดิ์ พาฉันไปรู้จักกับบางลำพูแบบเจาะลึกมากไปด้วยความรู้และความเพลิดเพลิน

ป้านิดอุ่นเครื่องประเดิมทริปด้วยการเล่าถึงอดีตสมัยยังเด็กๆว่า “แต่ก่อนนี้บ้านป้าอยู่ริมน้ำ ตลอดแนวแม่น้ำมีต้นลำพูอยู่เยอะมาก ตกกลางคืนก็จะมีหิ่งห้อยมาเกาะมีแสงวับๆแวบๆ สมัยนั้นคนเขาพูดกันว่า เรือที่แล่นมาถึงแถวคุ้งน้ำตรงนี้ พอเห็นแสงหิ่งห้อยก็จะรู้แล้วว่ามาถึงบางลำพู”

ป้านิดรำลึกความหลัง ซึ่งด้วยความสมบูรณ์ของต้นลำพูในแถบนี้เอง จึงเป็นที่มาของชื่อ “บางลำพู” ที่ยุคสมัยหนึ่งมักมีการเขียนผิดเป็น “บางลำภู” ที่หากว่ากันตามศัพท์ “ลำภู” หมายถึง“ลำของภูเขา”แต่ในละแวกนี้มีแต่ลำน้ำเจ้าพระยาหาได้มีภูเขาแต่อย่าง ใดไม่ แต่ด้วยความที่ต้นลำพูค่อยๆเลือนหายไปเรื่อยๆตามกาลเวลา คนก็ยิ่งเขียนคำว่า “บางลำภู” กัน(ผิด)อย่างแพร่หลายมากขึ้น

กระทั่งในปี พ.ศ. 2540 อาจารย์สมปอง ดวงไสว อาจารย์ประจำโรงเรียนวัดสังเวช ได้เขียนบทความ “ลำพูต้นสุดท้ายที่บางลำพู” เพื่อมายืนยันที่มาของชื่อ “บางลำพู” ซึ่งอาจารย์สมปองและชาวชุมชนบางลำพูได้ออกค้นหาจนค้นพบต้นลำพูต้นสุดท้าย ตั้งตระหง่านอยู่ริมน้ำเจ้าพระยาบริเวณสวนสันติชัยปราการ ที่ปัจจุบันลำพูต้นนี้แตกลูกแตกหลานออกมาอีกจำนวนหลายต้น

หากจะว่าไปจริงๆแล้ว ลำพูต้นนี้มีส่วนอย่างมากที่ทำให้สวนสันติชัยปราการถูกสร้างขึ้น เพราะนอกจากเรื่องราวของต้นลำพูต้นสุดท้ายจะเป็นที่รู้จักจากการนำเสนอออกไป ในสื่อต่างๆ แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงมีรับสั่งให้ทางราชการอนุรักษ์ต้นไม้ต้น นี้ไว้ให้ดีที่สุดอีกด้วย ดังนั้นทางกรุงเทพมหานครที่กำลังจะสร้างเขื่อนกันน้ำท่วม จึงได้ทำประตูระบายน้ำเพื่อให้ระบบนิเวศน์ของต้นลำพูไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก

นอกจากนั้น ทางราชการก็ยังได้เกิดความคิดที่จะปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณต้นลำพูและป้อม พระสุเมรุ เพื่อสร้างเป็นสวนสาธารณะริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถวายแด่ในหลวงในวโรกาสที่พระองค์มีพระชนมายุ 72 พรรษา ใน ปี พ.ศ. 2542 ซึ่งก็คือ “สวนสันติชัยปราการ” นั่นเอง

หลังป้านิดนวดความรู้ฉันด้วยที่มาอันถูกต้องของชื่อบางลำพูแล้ว คุณป้าพาฉันไปย้อนตำนานกับตลาดบางลำพู ที่เดิมมีศูนย์กลางอยู่บริเวณตลาดยอด ซึ่งปัจจุบันคือ(ซาก) ตึกนิวเวิลด์นั่นแหละ

ตลาดบางลำพู ถือเป็นแหล่งจับจ่ายซื้อของที่ได้รับความนิยมมากทีเดียว โดยในสมัยนั้นแหล่งค้าขายที่คนรู้จักกันดีก็จะมีที่เยาวราช พาหุรัด และบางลำพูนี้เอง และร้าน “นพรัตน์” ร้านขายเสื้อเชิ้ตแห่งแรกของเมืองไทย ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวป้านิดเอง ก็เป็นหนึ่งในร้านค้าย่านนี้ด้วยเช่นกัน

แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป แหล่งการค้าในยุคหลังๆก็เปลี่ยนตาม ผู้คนนิยมไปเดินซื้อของย่านอื่นๆ แทน ทำให้บางลำพูไม่คึกคักเหมือนก่อน แต่ก็ยังถือเป็นแหล่งตลาดการค้าเช่นเดิม แต่จะเป็นแหล่งแฟชั่นวัยผู้ใหญ่ และแหล่งซื้อชุดนักเรียน ชุดนักศึกษาเสียมากกว่า หากใครได้ไปบางลำพูในช่วงใกล้ๆ เปิดเทอมก็จะเห็นพ่อแม่พาเด็กๆ มาซื้อชุดนักเรียน เห็นนักศึกษามาลองเสื้อลองกระโปรงกันเป็นที่สนุกสนาน

นอกจากนั้น ย่านบางลำพูนี้ก็ยังขึ้นชื่อเรื่องของกินที่มีอยู่มากมาย ส่วนใหญ่แล้วราคาก็จะย่อมเยาสบายกระเป๋ายิ่งนัก แถมยังมีให้เลือกชิมหลากหลาย ทั้งก๋วยเตี๋ยวเป็ด บะหมี่หมูแดง ขนมจีน ฯลฯ ส่วนขนมของหวานนั้นไม่ต้องพูดถึงเพราะมีเยอะมาก ไปดูเอาเองดีกว่าที่บริเวณหน้าห้างตั้งฮั่วเส็ง ยิ่งตอนเที่ยงๆ นั้นแทบจะไม่มีที่เดินเพราะคนแน่นขนัดจริงๆ

ว่ากันด้วยเรื่องการเป็นแหล่งช้อปแหล่งกินกันไปแล้ว มาว่ากันด้วยเรื่องศูนย์รวมจิตใจของชาวชุมชนบางลำพูอย่าง “วัด” กันบ้างดีกว่า ป้านิดบอกฉันว่าในย่านบางลำพูนี้มีวัดสำคัญๆ อยู่ 3 แห่งด้วยกัน คือวัดบวรนิเวศวิหาร วัดชนะสงคราม และวัดสังเวชวิศยาราม

สำหรับวัดบวรนิเวศนั้น หลายๆ คนก็คงรู้จักกันดีอยู่แล้ว โดยวัดแห่งนี้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ในพระอุโบสถมีพระประธานสำคัญอย่างพระพุทธชินสีห์และพระสุวรรณเขต อีกทั้งยังมีพระไพรีพินาศอันโด่งดังอยู่ที่นี่ด้วย

ส่วนวัดชนะสงครามนั้น ก็เป็นวัดที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง วัดนี้เดิมเป็นวัดโบราณชื่อวัดกลางนา ต่อมาวังหน้าในรัชกาลที่ 1 ได้ปฏิสังขรณ์วัด และให้พระสงฆ์และประชาชนชาวมอญมาอาศัยอยู่บริเวณนี้ และตั้งชื่อวัดใหม่ว่าวัดตองปุ และได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดชนะสงครามอีกครั้งหนึ่ง

วัดนี้น่าจะเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติในแถบนี้ดี เพราะถือเป็นเส้นทางเดินลัดจากถนนพระอาทิตย์มายังถนนข้าวสารได้ ดังนั้นเมื่อฉันเข้าไปภายในพระอุโบสถจึงได้เห็นฝรั่งหลายคนที่เข้ามาชมความ งามภายในเช่นกัน บางคนยังนั่งสมาธิอยู่หน้าพระประธานด้วยก็ยังมี

ส่วนวัดสังเวชวิศยารามนั้น ก็ถือเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่เดิมนั้นก็มีชื่อว่าวัดบางลำพู จนรัชกาลที่ 4 ทรงเปลี่ยนชื่อให้เป็นวัดสังเวชวิศยาราม และเป็นศูนย์รวมของชาวชุมชนวัดสังเวชฯ มาในปัจจุบัน และไม่เพียงแต่วัดเท่านั้น แต่ในย่านบางลำพูก็ยังมีมัสยิดจักรพงษ์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของชาวอิสลามในย่านนี้อีกด้วย และในซอยทางเข้ามายังมัสยิดจักรพงษ์นั้นก็ยังมีร้านอาหารอิสลามที่ชวนกิน อยู่หลายร้านด้วยล่ะ

ที่สำคัญ ย่านบางลำพูยังถือเป็นแหล่งรวมศิลปวัฒนธรรมอันโดดเด่นแห่งกทม. เพราะในย่านนี้เป็นที่ตั้งของสำนักนาฎศิลป์และดนตรีไทยหลายๆ สำนัก ทั้งโรงละครร้อง วิกลิเก และโรงหนังพากย์ ฯลฯ อีกทั้งด้วยบรรยากาศของบ้านขุนนางเก่าแก่บนถนนพระอาทิตย์ ทำให้เมื่อเวลามีการจัดงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเพณี วัฒนธรรม หรืองานศิลปะต่างๆ ถนนพระอาทิตย์ ถนนพระสุเมรุ หรือสวนสันติชัยปราการจึงเป็นตัวเลือกแรกๆ ของผู้จัดเสมอ

อย่างเช่นงานสงกรานต์ที่ป้านิดบอกว่า “ถ้าพูดถึงงานสงกรานต์ที่บางลำพูแล้วคนส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นงานสงกรานต์แบบอินเตอร์ ไม่ใช่ประเพณีไทย เราอยากจะมีงานสงกรานต์ที่เป็นแบบไทยขึ้น ก็เลยไปกราบทูลสมเด็จพระสังฆราช พระองค์จึงประทานพระพุทธรูปมาให้เราองค์หนึ่ง และประทานชื่อให้ด้วยว่า “พระพุทธบางลำพูประชานาถ” ซึ่งแปลว่าที่พึ่งของชาวบางลำพู และทุกปีในวันสงกรานต์ก็จะมีการแห่พระพุทธรูปมาให้ประชาชนสรงน้ำที่สวนสันติ ชัยปราการ มีการสรงน้ำพระสงฆ์ รดน้ำผู้สูงอายุ และการแสดงการละเล่นแบบไทยๆ”

อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากพูดถึงเกี่ยวกับบางลำพูก็คือ ความเป็นชุมชนเข้มแข็งที่รวมตัวกันเป็น “ประชาคมบางลำพู” ป้านิดเล่าถึงจุดเริ่มต้นของประชาคมนี้ว่า เริ่มมาจากการจัดงานถนนคนเดินบนถนนพระอาทิตย์ครั้งแรก คนในชุมชนได้มีการร่วมประชุมกันหลายครั้ง จนงานเสร็จก็รู้สึกว่ามีความสนิทสนมกันขึ้น จึงมาคุยกันว่าน่าจะรวมตัวกันเป็นประชาคมขึ้น โดยงานของของประชาคมก็คือการส่งเสริมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ

และผลงานหนึ่งที่มาจากความร่วมมือของชาวประชาคมบางลำพูก็คือ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2541-42 ได้มีการรวมตัวกันต่อต้านการรื้อโรงพิมพ์คุรุสภา ซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่อยู่ข้างป้อมพระสุเมรุ ตามอายุก็สมควรแก่การอนุรักษ์ อีกทั้งยังเป็นโรงเรียนสอนพิมพ์แห่งแรก ป้านิดบอกว่าหนังสือเรียนสมัยป้ากะปู่ กู้อีจู้ ก็พิมพ์จากที่นี่เอง นอกจากนั้นก็ยังเป็นที่พิมพ์หนังสือวรรณคดีไทยสำคัญอย่างเรื่องพระอภัยมณี ขุนช้างขุนแผน อิเหนา สามก๊ก และรามเกียรติ์อีกด้วย

แทนที่จะรื้อทิ้ง ชาวชุมชนจึงขอให้ใช้อาคารหลังนี้เป็นศูนย์ชุมชน แต่เจ้าของพื้นที่ต้องการจัดทำเป็นสวนสาธารณะทั้งที่ขณะนั้นมีโครงการจะ สร้างสวนสันติชัยปราการแล้ว ผลของการต่อสู้ปรากฏว่า เจ้าของพื้นที่ไม่รื้อตึกทิ้ง แต่ก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาทำกิจกรรมใดๆกับอาคารหลังนี้ ซึ่งยังนับว่าโชคดีที่การเคลื่อนไหวของประชาคมฯ ช่วยให้อาคารเก่าแก่หลังหนึ่งยังคงอยู่ต่อไปเคียงคู่ย่านบางลำพู หนึ่งในชุมชนเก่าแก่ระดับตำนานที่ยังมีลมหายใจแห่งกรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร

"ย่านบางลำพู" ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่ถนนพระอาทิตย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาลงไปจนถึงวัดบวร นิเวศ ส่วนอีกด้านหนึ่งนับจากถนนข้าวสารไปจนถึงวัดสามพระยา ศูนย์กลางของย่านบางลำพูจะอยู่แถวๆ ตึกห้างนิวเวิลด์เก่า

มีรถประจำทางสาย 3, 6, 9, 30, 32, 33, 53, 64, 65, 524, 503 ผ่านบริเวณถนนพระอาทิตย์ และตลาดบางลำพู ส่วนรถประจำทางสาย 56, 68, 516 ผ่านบริเวณวัดบวรนิเวศ

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

ท่องย่านเกาหลีในเมืองไทย ที่"โคเรียน ทาวน์"


สุขุมวิท พลาซ่า หรือที่รู้จักกันในนาม "Korean Town"
มาจนถึงวันนี้ กระแสเกาหลีฟีเวอร์ก็ยังไม่จางหายไป จากความสนใจของคนไทยเท่าไรเลยนะฉันว่า ถ้าจะนับกันจริงๆ ก็นานหลายปีแล้วที่ความเป็นเกาหลีเริ่มมาเป็นที่นิยม ตั้งแต่ละครเกาหลีเรื่องแรกๆ อย่าง Autumn in My Heart ละครสุดเศร้าเคล้าน้ำตา ตามต่อมาด้วย Winter Love Song ละครรักโรแมนติกสุดซึ้ง และมาดังระเบิดระเบ้อก็ตอนที่จอมนางแห่งวังหลวง แดจังกึม มาทำอาหารให้คนดูน้ำลายไหลไปตามๆ กัน และกับเรื่องล่าสุดที่เพิ่งจบไปคือเรื่อง เจ้าหญิงวุ่นวายกับเจ้าชายเย็นชา ก็ทำเอาหลายคนอยากเป็นเจ้าหญิงขึ้นมาตะหงิดๆ

ไม่เพียงแค่บรรดาละครเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นที่นิยม แต่ทั้งภาพยนตร์เกาหลี เพลงภาษาเกาหลี โรงเรียนสอนภาษาเกาหลี อาหารเกาหลี และการท่องเที่ยวเกาหลีต่างก็ได้รับอานิสงส์ของความนิยมนี้ไปด้วย โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเกาหลีนั้น เล็งเห็นช่องทางขายจากความนิยมในละครเกาหลี จึงได้ปิ๊งไอเดียจัดทัวร์ท่องเที่ยวเกาหลีตามรอยละครเรื่องต่างๆ ที่นอกจากจะพาไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ แห่งแล้ว ก็ยังจะพาไปชมสถานที่ถ่ายทำละครเรื่องดังๆ ตรงไหนที่พระเอกนางเอกเดินจับมือกัน ตรงไหนทะเลาะกัน ตรงไหนคืนดีกัน ก็ตามไปดูกันได้ ซึ่งแพ็คเกจทัวร์นี้ก็ทำเอาการท่องเที่ยวเกาหลีรับทรัพย์จากนักท่องเที่ยว ชาวไทยไปเต็มๆ

ว่ามาซะยาวอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะชวนไปเที่ยวประเทศเกาหลีแต่อย่างใด แม้ว่าฉันจะเป็นคนหนึ่งที่นิยมดูละครเกาหลีอยู่เช่นกันก็ตาม แต่ก็ไม่มีทุนทรัพย์พอจะบินไปอินกับเขาที่นู่นหรอก ก็ได้แต่อาศัยดูละครเอาบ้าง กินอาหารเกาหลีเอาบ้างพอให้ได้บรรยากาศ

แต่เมื่อไม่นานมานี้ฉันเพิ่งได้ไปเจอสถานที่ดีๆ ที่ผู้นิยมเกาหลีน่าจะชอบกัน สถานที่ที่ว่านั้นก็คือ "โคเรียน ทาวน์" (Korean Town) เกาหลีในกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่ในสุขุมวิท พลาซ่า บริเวณหน้าปากซอยสุขุมวิท 12 นี่เอง

ในเมื่อกรุงเทพฯ มีไชน่า ทาวน์ ที่เยาวราช มีลิตเติ้ล อินเดีย ที่พาหุรัด แล้วทำไมจะมีโคเรียน ทาวน์ ที่สุขุมวิทบ้างไม่ได้ล่ะ จริงไหม แม้ว่าโคเรียน ทาวน์แห่งนี้จะไม่ใหญ่โตเท่าไรนัก เป็นเพียงอาคารสี่ชั้นตั้งอยู่ใจกลางเมือง แต่ก็ได้บรรยากาศของความเป็นเกาหลีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ที่เรียกบริเวณนี้ว่าเป็นโคเรียน ทาวน์ ก็เพราะเหตุว่าในแถบสุขุมวิทนี้เป็นที่อยู่ของชาวเกาหลีจำนวนมากที่อาศัย อยู่ในประเทศไทย และเมื่อมีคนเชื้อชาติเดียวกันมาอยู่รวมกันมากๆ เข้า จึงมีคนคิดทำธุรกิจร้านค้าต่างๆ เพื่อที่จะสนองความต้องการให้ชาวเกาหลีเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหาร เครื่องดื่ม หรือข้าวของต่างๆ จนต่อมาเมื่อมีคนมาเปิดร้านกันมากเข้าๆ พื้นที่บริเวณนี้จึงกลายเป็นศูนย์รวมคนเกาหลี กลายมาเป็นย่านเกาหลีที่เต็มไปด้วยร้านค้าของชาวเกาหลีที่มีภาษาเกาหลีกำกับ มองไปมองมาก็เหมือนกับอยู่ในเกาหลีอย่างไรอย่างนั้น ว่าแล้วก็อย่ารอช้า รีบเข้าไปสำรวจโคเรียน ทาวน์ พร้อมๆ กันเลยดีกว่าว่าจะมีสิ่งน่าสนใจอย่างไรบ้าง

เริ่มจากทางเดินเข้าสู่สุขุมวิท พลาซ่า ที่มีป้ายขนาดใหญ่ที่รวมเอาชื่อร้านรวงทั้งหลายมาติดไว้ มองๆ ดูแล้วฉันก็อ่านไม่ออกสักร้านเพราะเป็นภาษาเกาหลีแทบทั้งหมด แต่ก็ยังน่ารักที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงพร้อมกับธงชาติไทยและธงตรา สัญลักษณ์ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี อยู่ด้วย

เมื่อเดินเข้าไปด้านในก็ยิ่งได้สัมผัสกับกลิ่นอายของเกาหลีมากยิ่งขึ้น เนื่องจากด้านในนี้เป็นที่ตั้งของร้านอาหารเกาหลีกว่า สิบร้านเลยทีเดียว แต่ละร้านเขียนชื่อเป็นภาษาเกาหลี มีภาษาไทยตัวเล็กๆ เขียนไว้พอให้เรียกชื่อได้ถูก อ่านแค่ชื่อร้านก็สนุกแล้ว เช่น ร้านกวาน ฮัน รู ร้านยู ริม จอง ร้านโจ บัง นัคจิ ร้านอล มี จอง ร้านนัควอน ร้านเมียงคา ฯลฯ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าร้านไหนอร่อยหรือไม่อร่อยกว่ากัน แต่ที่แน่ๆ คือน่ากินไปเสียทุกร้านเลย เพราะหน้าร้านแต่ละร้านก็จะมีอาหารตัวอย่าง หรือเมนูให้ได้เลือกดูกัน บางร้านรับประกันความอร่อย เพราะมีแดจังกึมมาช่วยโฆษณาด้วย

นอกจากร้านอาหารเหล่านี้แล้ว หากใครพอที่จะทำอาหารเกาหลีเป็นหรือว่าอยากจะลองทำ แต่ไม่สามารถหาวัตถุดิบแบบเกาหลีแท้ๆ มาประกอบอาหารได้ ฉันก็ขอแนะนำให้มาที่โคเรียน ทาวน์ แห่งนี้ เพราะที่นี่มีร้านขายอาหาร หรือที่เรียกว่าฟู้ดมาร์ท คล้ายๆ ร้านสะดวกซื้อของเรานั่นแหละ สินค้าก็คล้ายๆ กันเพียงแต่ข้าวของทั้งร้านนั้นนำเข้าจากเกาหลีนั่นเอง

สินค้าที่ว่าก็มีทั้งพวกอาหารกึ่งสำเร็จรูป มีน้ำปลา น้ำตาล ซอสและน้ำจิ้มชนิดต่างๆ มีสาหร่ายแผ่น มีพริกเกาหลีที่คล้ายๆ น้ำพริกเผาบ้านเรา รวมทั้งมีเส้นก๋วยเตี๋ยวแบบต่างๆ ที่คนเกาหลีเขานิยมกินกันด้วย นอกจากนั้น สิ่งสำคัญที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือกิมจิ ที่ฟู้ดมาร์ทแห่งนี้เขาทำกิมจิใหม่ๆ สดๆ หลากหลายแบบใส่ตู้แช่เอาไว้ ใครอยากกินก็ไปซื้อได้เลย ไม่ต้องทำเองให้ลำบาก

และข้างๆ ร้านฟู้ดมาร์ทนี้ก็เป็นร้านเล็กๆ ที่ขายขนมและอาหารแห้งของเกาหลีเช่นกัน มีขนมหน้าตาแปลกๆ หีบห่อน่ารักๆ แบบเกาหลีเต็มไปหมด และที่ร้านนี้ก็ยังมีนิตยสารจากเกาหลีขายอีกด้วยล่ะ

เมื่อมีร้านอาหารเกาหลีพร้อมสรรพแล้วให้คนเกาหลีได้อิ่มท้องแล้ว ก็ต้องมีสิ่งที่สร้างความบันเทิงแก่ชาวเกาหลีที่อยู่ในเมืองไทยได้หายคิดถึง บ้านกันบ้าง นั่นก็คือร้านคาราโอเกะที่มีอยู่หลายร้านด้วยกันบนชั้น 2-3 ของโคเรียน ทาวน์ ซึ่งต่างก็มีเพลงเกาหลีอัพเดทใหม่ๆ ให้ผู้ที่รักการร้องเพลงได้สนุกสนานกัน

แต่หากใครไม่ชอบความอึกทึกหรือเสียงเพลงดังๆ ขอแนะนำให้มาอ่านหนังสือที่ร้านเช่าหนังสือบนชั้น 3 ของโคเรียน ทาวน์ ที่นี่เป็นร้านเช่าหนังสือภาษาเกาหลีขนาด ย่อมที่มีหนังสือหลากหลายแนว ทั้งพ็อกเก็ตบุ๊ค หนังสือนิยาย หนังสือการ์ตูน และหนังสือภาพสำหรับเด็ก เรียกว่ารองรับได้ทั้งนักอ่านรุ่นใหญ่และรุ่นเยาว์เลยทีเดียว หนังสือบางเล่มของเกาหลีดูน่าอ่านมากทีเดียว เสียดายที่ภาษาเกาหลีฉันไม่กระดิกเลยสักตัว เลยได้แค่หยิบๆ จับๆ ขึ้นมาดูเท่านั้น

ความบันเทิงอีกอย่างหนึ่งที่จะหาได้ที่โคเรียน ทาวน์แห่งนี้ก็คือร้านเช่าวิดีโอเล็กๆ ที่อยู่บนชั้น 4 แต่งานนี้ใครอ่านภาษาเกาหลีไม่ออกเห็นทีจะแย่หน่อย เพราะจะไม่รู้เลยว่าเรื่องอะไรเป็นอะไร แต่คิดอีกที ก็ร้านวิดีโอนี้เขามีไว้ให้คนเกาหลีดูเวลาคิดถึงบ้านนี่นา

นอกจากบรรดาร้านทั้งหลายที่ว่ามานี้แล้วก็ยังมีร้านรวงต่างๆ อีกมาก ทั้งสปา ร้านขายเครื่องประดับเพชรพลอย และอื่นๆ อีกมากมายให้ชาวเกาหลีรวมทั้งคนทั่วไปได้ใช้บริการกัน

สำหรับคนไทยแท้ๆ อย่างฉันก็คงไปใช้บริการที่โคเรียน ทาวน์ได้แค่ที่ร้านอาหารกับที่ฟู้ดมาร์ทเท่านั้นเอง แต่สำหรับคนไทยใจเกาหลี รวมทั้งไปถึงคนเกาหลีแท้ๆ ก็สามารถใช้บริการได้หมดเพราะไม่มีปัญหาเรื่องภาษา แต่อย่างไรก็ตาม เท่าที่ฉันได้มาสัมผัสบรรยากาศของสถานที่แห่งนี้ ก็น่าจะเรียกได้ว่าที่นี่เป็น "ย่านเกาหลี" ของจริง ที่แม้จะไม่ใหญ่โตเหมือนเยาวราชหรือพาหุรัด แต่ก็ได้บรรยากาศของเกาหลีไม่แพ้กัน

"โคเรียน ทาวน์" (Korean Town) ตั้งอยู่ที่สุขุมวิท พลาซ่า ปากซอยสุขุมวิท 12 การเดินทางสามารถนั่งรถไฟฟ้ามาลงยังสถานีนานา แล้วเดินย้อนมาทางสถานีอโศกประมาณ 300 เมตร

"หอเกียรติภูมิรถไฟ" ของดีที่ซ่อนอยู่ในสวนจตุจักร


รถไฟจิ๋วขบวนนี้กำลังวิ่งวนไปตามราง

แหล่งที่มา : manager.co.th (โดย : หนุ่มลูกทุ่ง)

“วาว วาว เสียงรถไฟวิ่งไปฤทัยครื้นเครง เรามันคนกันเองไม่ต้องเกรงใจใคร พวกเราเพลินชมไพรนั่งรถไฟถึงในไทรโยค โยนทุกข์ใดในโลกสู่ไทรโยคไป”

ฉันเดินฮัม เพลง มนต์ไทรโยคของวง ดิ อินโนเซ้นท์ ไปพลางๆหลังจากพาตัวเองแวะเวียนมาสูดอากาศบริสุทธิ์ ภายในสวนจตุจักรเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นอกเหนือจากแวะมาชมหมู่มวลแมกไม้อันร่มรื่นแล้ว ฉันยังมีเป้าหมายสำคัญคือตั้งใจที่จะมาเยี่ยมชม "หอเกียรติภูมิรถไฟ" ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวนด้วยนั้นเอง

หลายๆคนที่เคยมาพักผ่อนที่สวนจตุจักรอาจเคยสังเกตเห็นอาคารหลังใหญ่ ตั้งอยู่แถวๆบริเวณลาดจอดรถประตู 2 ในวันธรรมดาอาคารแห่งนี้จะถูกปิดตาย มองภายนอกคล้ายโกดังเก็บของแต่ในวัน เสาร์- อาทิตย์ ประตูจะถูกเปิดออกพร้อมกับเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายใน

ที่นั้นแหละคือ"หอเกียรติภูมิรถไฟ"สถานที่ซึ่งเป็นขุมทรัพย์แห่งการ เรียนรู้ สำหรับผู้ที่มีใจรักและสนใจในเรื่องรถไฟ หอเกียรติภูมิรถไฟแห่งนี้ เปิดดำเนินการมานานกว่า 16 ปี แต่เดิมอาคารหลังนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยสร้างขึ้น เพื่อให้เป็น "พิพิธภัณฑ์รถไฟ"

ต่อมาการรถไฟฯ เลิกโครงการและไม่ใช้ประโยชน์จากอาคารพิพิธภัณฑ์รถไฟ ชมรม "เรารักรถไฟ" จึงขออนุมัติจากการรถไฟเข้าครอบครองใช้ประโยชน์ตั้งแต่ปี 2533 และใช้ชื่อสถานที่ว่า "หอเกียรติภูมิรถไฟ" เพื่อสอดคล้องกับสิ่งของและวัตถุประสงค์ของการจัดแสดง

เพราะไม่เพียงรถไฟที่เป็นเกียรติภูมิของชาติเท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีนโยบายจะจัดแสดงสิ่งของ ซึ่งมีมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่ยานยนต์ทุกชนิด รวมถึงการคมนาคม การสื่อสาร การศึกษา การพิมพ์ การถ่ายภาพ เป็นต้น

แม้จะเป็นวันอาทิตย์ก็จริงแต่ฉันก็สังเกตว่ามีผู้เข้าชมบางตา ทั้งๆที่ตอนฉันเดินเลียบสวนสาธารณะเข้ามานั้นมีผู้คนขวักไขว่ไม่รู้ด้วยเหตุ ใดจึงพากันมองข้ามสิ่งดีๆใกล้ตัวไป อดคิดไม่ได้ว่าถ้าฉันเป็นรถไฟและมีความรู้สึกก็คงน้อยใจเป็นแน่ ก็ดูสิอุตส่าห์ฝ่าแดดลมฝนมาหลายปี เพื่อรอคอยให้เราเข้าไปศึกษาหาประโยชน์จากตัวมัน แต่เรากลับไม่สนใจเสียนี่

อาคารหลังนี้คาดคะเนด้วยสายตาก็มีขนาดใหญ่โตพอสมควร ฉันเริ่มต้นจากเข้าไปถวายสักการะพระรูปของรัชกาลที่ 5 ซึ่งตั้งอยู่ติดกับบริเวณทางเข้าก่อนเป็นลำดับแรก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเองพร้อมกับรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงของ พระองค์ท่าน ที่ทรงพระราชทานกำเนิดการรถไฟให้เป็นการขนส่งมวลชนอย่างแรกในประเทศ

จากนั้นจึงเริ่มเดินดูรอบๆด้วยความตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก เริ่มต้นที่"เกวียนไม้"ที่ ตั้งไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่าครั้งหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 ควีนวิคตอเรียแห่งสหราชอาณาจักรให้ราชทูตนำขบวนรถไฟจำลองมาถวาย พร้อมด้วยข้อเสนอขอให้อังกฤษสร้างทางรถไฟสายแรกตัดข้ามคลองคอดกระให้
ซึ่งอาจหมายถึงการสูญเสียเอกราช รัชกาลที่4ทรงรับขบวนรถไฟจำลองไว้ก่อนปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า "สยามยังยากจน เรามีเกวียนใช้ก็พอแล้ว" มิเช่นนั้นไม่แน่ว่าป่านนี้เราอาจเป็นเมืองขึ้นไปแล้วก็ได้

สิ่งที่ฉันสนใจเป็นพิเศษก็คงจะเป็น "รถจักรไอน้ำ หมายเลข 10089" เป็นรถจักรไอน้ำรุ่นสุดท้ายที่บริษัทเกียวซานโกเกียวในญี่ปุ่นสร้างขึ้นก่อน เลิกกิจการ เพราะหมดยุคไอน้ำเมื่อสามสิบปีก่อนและจากการถอดชิ้นส่วนออกมาตรวจโดยละเอียด พบว่าไม่มีริ้วรอยการใช้งาน

สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นตามความต้องการของบริษัทโรงงานน้ำตาลใช้ขนอ้อย จากไร่ป้อนโรงงาน แต่พอมาถึงท่าวัดพระยาไกรก็เลิกใช้รถไฟเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ในการขนอ้อย "10089" จึงทิ้งไว้ในโกดังที่ท่าเรือ และไม่เคยใช้งานแต่อย่างใด

บริเวณใกล้ๆกันนั้นยังมีรถจักรไอน้ำที่ได้รับคำจำกัดความว่าเป็น"ผู้ปิดทอง หลังพระ" ของการรถไฟมีชื่อว่ารถจักรไอน้ำ "สูงเนิน" ซึ่งทำหน้าที่ตัดฟืน ขนน้ำ จากป่าที่ที่หัวหวายมาให้ขบวนรถไฟลากจูงด้วยรถจักรไอน้ำใช้ที่สถานีสูงเนิน กลางดงพญาไฟในอดีต

ขณะที่ฉันเดินสำรวจอยู่นั้นก็จะมีเสียงบรรยายถึงประวัติ และสิ่งที่น่าสนใจจากเสียงตามสายมาเป็นระยะๆ ฉันสังเกตเห็นว่านอกจากฉันและผู้เข้าเยี่ยมชมอีกสองสามคนแล้ว ยังมีชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่คอยผุดลุกผุดนั่งเดินไปกวาดตรงโน้นปัดฝุ่น ตรงนี้พร้อมกับคอยบังคับปิด เปิดสวิตช์เจ้ารถไฟโมเดลให้วิ่งไปตามราง

ด้วยความสงสัยอยู่ในทีฉันจึงเดินเข้าไปสวัสดีและทักทาย จึงรู้ว่าตัวเองกำลังคุยอยู่กับ คุณจุลศิริ วิรยศิริ อายุ 58 ปี ผู้อำนวยการหอเกียรติภูมิรถไฟ และเหมาทุกตำแหน่งในหอเกียรติภูมิรถไฟ เขาเล่าให้ฉันฟังว่า ตอนนี้ที่นี่เสื่อมโทรมลงไปมากเพราะขาดงบประมาณในการบำรุงรักษา

"ที่นี่เป็นของเอกชนก่อตั้งโดยคุณพ่อผม รายได้หลักก็อาศัยการรับบริจาคจากผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเท่านั้น เราไม่มีการเก็บค่าเข้าชม ขนาดให้ดูฟรีคนก็ยังน้อย ผมเองก็ท้อใจหลายครั้งแต่เหตุผลที่ไม่สามารถละทิ้งได้ก็คือต้องการอนุรักษ์ เพื่อเป็นมรดกในอนุชนรุ่นหลัง ถ้าวันหนึ่งไม่ทำแล้วก็คงจะยกให้เอกชนจัดทำเป็นมูลนิธิดำเนินการหาทุน แต่ตอนนี้ก็ขอแค่มีคนเข้าชมก็พอใจเป็นที่สุดแล้ว"

ฉันรับฟังด้วยความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกก่อนจะจบบทสนทนาแล้วขอตัวเดินไปดู รถไฟต่อ และต้องอัศจรรย์ใจกับ "รถโยก" ขนาดเล็กที่มีประวัติบอกไว้ว่าใช้สำหรับตรวจทางนำขบวนรถไฟเมื่อครั้งงาน "ร้อยปียานยนต์ไทย" ถูกลากจูงอยู่กับที่ด้วยหัวรถจักรดีเซล "ฮันสเล็ท" ซึ่งโรงงานมักกะสันการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ซ่อมอนุรักษ์จากซากรถที่ใช้การ ไม่ได้แล้ว จนกลับใช้เครื่องยนต์ลากจูงฉุดลากขบวนรถไฟได้

ถัดมาเป็นตู้รถไฟที่ลากจูงคันแรก คือ "รถ ร.พ." ซึ่งเป็นตู้รถไฟไม้ที่นับได้ว่าเก่าที่สุดในประเทศไทย และอาจเป็นตู้รถไฟพยาบาลที่สร้างด้วยไม้สักทองหลังสุดท้ายของโลก รถ ร.พ.เกิดขึ้นพร้อมกับการแพทย์แผนตะวันตกที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในสมัยรัชกาล ที่ 5 เมื่อทรงสร้างโรงพยาบาลศิริราชขึ้นก็ทรงตระหนักถึงราษฎรที่อยู่ต่างจังหวัด

จึงทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินพระน้องยาเธอฯ ให้ออกแบบรถพยาบาลหลังแรกของไทย และโปรดเกล้าสั่งไม้สักทองจากบราซิลขนไปต่อที่ประเทศอังกฤษแล้วนำเข้ามาใน ประเทศไทย แต่ก็คาดว่าไม่มีโอกาสใช้รัชกาลที่ 5 ทรงสวรรคตเสียก่อน

ในโบกี้ต่อมาเป็นตู้ รถจ.พ. หรือรถจัดเฉพาะพยาบาล มีลักษณะภายนอกแบบเดียวกับรถ รพ.แต่ภายในตกแต่งคล้ายคลินิค ตรวจร่างกายแบบฉุกเฉิน ทั้งสองคันยังอยู่ในสภาพดี และถือว่าเป็นรถไฟที่เก่าที่สุดของประเทศไทย
นอกจากนั้นแล้วลุงจุลศิริก็ยังเล่าให้ฉันฟังว่า มีรถจัดเฉพาะอื่นๆ เช่น รถ จ.ขจก. ซึ่งเป็นตู้รถที่บรรทุกทหารที่จะไปปราบปรามโจรก่อการร้าย หรือ รถจ.ล.ย. ซึ่งเป็นตู้รถจัดเฉพาะลำไย ที่เอาไว้จัดส่งลำไย ทำให้ฉันนึกขันอยู่ในใจว่า นี่ถ้าเป็นผลไม้อื่นๆ ก็คงต้องมีชื่อเรียกอีกมากมายเป็นแน่

อ๋อ...และที่นี่เขายังนำเอาตู้รถไฟมาดัดแปลงเป็นห้องสมุด "ยานยนต์เฉลิมพระเกียรติ์" มีหนังสือเอกสารให้อ่านมากมาย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกด้วยข้างในก็ติดแอร์เย็นฉ่ำทีเดียว แถมยังมีรถไฟจำลองขนาดเล็กมากมายให้ชมอีกด้วย
รวมถึง "รถราง"ซึ่งในปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้วกว่า 30 ปี ฉันก็รู้จากที่นี่แหละว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียเชียวน่าที่ริเริ่ม นำรถรางมาใช้

เมื่อเดินเข้าไปข้างในสุดก็จะเป็นส่วนของ "หอเกียรติภูมิยานยนต์ พีระ-เจ้าดาราทอง" มีรถยนต์ที่มีความหมายทางประวัติศาสตร์อย่างรถ "เฟี๊ยตโทโปลิโน่" ที่เหมือนไม่ผิดเพี้ยนกับรถยนต์พระที่นั่งครั้งทรงพระเยาว์ของในหลวงรัชกาล ปัจจุบัน รถ "ดัทสันบลูเบิร์ด" ฉายาว่า "แท็กซี่เลือดไทย" เพราะสร้างในเมืองไทยเป็นคันแรก ใกล้ๆกันก็มีซากเครื่องสมัยสงครามโลกครั้ง2ให้ชมด้วย

ฉันเพลิดเพลินจำเริญใจกับเหล่ารถไฟจนเต็มอิ่มแล้วก็ได้เวลาโบกมือลา แต่ก็ยังไม่วายเหลียวหลังกลับไปมองหอเกียรติภูมิรถไฟด้วยความเสียดายว่า สถานที่ดีๆ แถมยังให้ดูฟรีอย่างนี้ แต่กลับเงียบเหงาไม่มีคนมาชมเท่าไรนัก

และก่อนที่ฉันจะกลับ ก็ไม่ลืมที่จะแวะสั่นระฆังรถไฟที่ตั้งอยู่บริเวณทางออกสามครั้งดังๆเป็นการ บอกลาเหล่ารถไฟและสิ่งของทุกชิ้นที่อยู่ใน "หอเกียรติภูมิรถไฟ"แห่งนี้

"หอเกียรติภูมิรถไฟ"ตั้ง อยู่ที่ลานจอดรถประตู 2 สวนจตุจักร ถนนกำแพงเพชร 3 กทม.10900 เปิดให้เข้าชมวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-15.00น. ไม่เสียใช้จ่ายในการเข้าชม วันธรรมดาหากต้องการเข้าชมเป็นหมู่คณะโทร.08-1615-5776 การเดินทางเริ่มจากลงรถไฟฟ้า B T S สถานีหมอชิต แล้วเดินเลาะริมสวนสาธารณะจตุจักรมาเรื่อยๆแล้วเลี้ยวเข้าลานจอดรถประตู 2 จุดสังเกตอยู่ตรงข้ามธนาคารทหารไทย

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

วัดพระแก้ว : สุดยอดแห่งงานศิลปกรรม


ตั้งแต่แรกที่เปิดคอลัมน์ "ลุยกรุง" ขึ้นมา สถานที่ในดวงใจแห่งแรกที่ฉันตั้งใจจะเขียนถึงก็คือที่ "วัดพระแก้ว" นี่แหละ เพราะตามความคิดของฉันแล้ว ที่นี่เป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของกรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นพร้อมกับพระบรมมหาราชวัง และสร้างขึ้นมาพร้อมๆ กับการสร้างกรุงเทพฯ เลยทีเดียว เรียกว่าถ้ามีญาติฉันจากบ้านนอกจะมาเที่ยวกรุงเทพเมื่อไร ฉันก็ต้องแนะนำให้ไปวัดพระแก้วเป็นที่แรก

แต่ที่ต้องรอแล้วรอเล่า พาไปเที่ยวที่อื่นเสียนานกว่าจะได้มาที่วัดพระแก้วนี้ ก็เพราะอยากจะเก็บข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับวัดพระแก้วให้แน่นปึ้กเสียก่อนที่จะมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเรื่องราวของวัดพระแก้วนั้น ถ้าจะพูดกันให้จบในวันเดียวก็คงจะได้แค่กระผีก เพราะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ล้วนแล้วแต่น่าสนใจมากมายเหลือเกิน ดังนั้นฉันก็เลยต้องตัดแบ่งเป็นหลายตอนเสียหน่อย เพื่อจะได้ชมวัดพระแก้วกันอย่างถ้วนทั่ว

เพราะฉะนั้น ในวันนี้ฉันจึงจะพาทุกคนมาชมภาพกว้างๆ ของวัดพระแก้วกันก่อน ในเรื่องของการสร้างวัด และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่วิจิตรงดงามไปทุกสิ่ง ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของศิลปกรรมไทยในทุกด้าน

วัดพระแก้วนั้น มีชื่อเรียกเต็มๆ อย่างเป็นทางการว่า "วัดพระศรีรัตนศาสดาราม" แต่เรียกกันอย่างง่ายๆ ว่าวัดพระแก้ว และพระประธานในพระอุโบสถนั้นก็เรียกชื่อเต็มๆ ว่า "พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่ทำขึ้นจากหินสีเขียวสวยงามมาก

มาว่ากันถึงการสร้างวัดพระแก้วกันก่อน คงต้องย้อนไปในปี พ.ศ.2325 เมื่อตอนที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ทรงย้ายเมืองหลวงจากฝั่งธนบุรีข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาฝั่งพระนคร พระองค์ก็ได้สร้างพระบรมมหาราชวังขึ้น รวมทั้งได้สร้างวัดภายในวังหลวงขึ้นเพื่อเป็นที่สำหรับประกอบพระราชกุศล รวมทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ทรงอัญเชิญมาจากกรุงเวียงจันทน์ ด้วย และเนื่องจากวัดพระแก้วเป็นวัดที่อยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง จึงไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ซึ่งเป็นไปตามแบบแผนการสร้างพระบรมมหาราชวังมาตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา

ทีนี้ไปดูกันดีกว่าว่า ในอาณาเขตของวัดพระแก้วนี้ มีสิ่งก่อสร้างอะไรบ้าง เพราะเชื่อว่าบางคนที่มาวัดพระแก้วก็จะมุ่งตรงไปสักการะพระแก้วมรกตในพระ อุโบสถเพียงอย่างเดียว จนละเลยสิ่งอื่นภายในวัดที่มีความน่าสนใจไม่น้อยกว่ากัน หรือบางคนที่แม้จะเดินชมสิ่งต่างๆ ภายในวัดจนทั่วแล้ว แต่ก็อาจไม่รู้ว่าสิ่งก่อสร้างนั้นๆ ไว้ใช้ทำอะไร และสำคัญอย่างไร

เรามาเริ่มจาก พระอัษฎามหาเจดีย์ หรือพระปรางค์แปดองค์ ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของวัด หรือด้านที่ตรงข้ามกับกระทรวงกลาโหมกันก่อนดีกว่า พระปรางค์แปดทั้งองค์นี้เป็นปรางค์ฐานแปดเหลี่ยม ตกแต่งลวดลายปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสีแตกต่างกันไปทั้งแปดองค์ โดยแต่ละองค์มีชื่อเรียกต่างกันไป พระปรางค์เหล่านี้สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จุดประสงค์ก็เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

ทีนี้มาทางด้านทิศเหนือกันบ้าง ที่หอพระมณเฑียรธรรม ที่ถือว่าเป็นห้องสมุดแห่งแรกของกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ เพราะที่นี่เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก ซึ่งหอพระมณเฑียรธรรมที่เห็นนี้เป็นหลังใหม่ และเป็นฝีมือของช่างวังหน้า โดยกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท วังหน้าในรัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ช่างมาสมทบสร้างถวาย ซึ่งฝีมือของช่างวังหน้านั้นก็ถือว่าสุดยอดอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นศิลปะของวังหน้าหนึ่งเดียวในวังหลวงก็ว่าได้

หอพระมณเฑียรธรรมเป็นอาคารแบบไทยทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความน่าสนใจอยู่ตรงหน้าจั่วที่เป็นรูปพระพรหมทรงหงส์อยู่เหนือพระอินทร์ทรง ช้างเอราวัณอีกที และก็มีหนุมานซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของวังหน้าสอดแทรกอยู่ตามที่ต่างๆ เช่น ลวดลายบนกรอบไม้เหนือหน้าต่าง ถ้าใครอยากชมต้องรอโอกาสในวันพระ เพราะที่หอมณเฑียรธรรมนี้จะเปิดใช้เป็นที่แสดงธรรมเทศนาในวันพระเท่านั้น

ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหอมณเฑียรธรรม ก็คือหอพระนาก ซึ่งเดิมเป็นที่ประดิษฐานพระนาก และเป็นที่เก็บพระอัฐิของเจ้านายฝ่ายใน แต่เมื่อมีการซ่อมแซมอีกครั้งในรัชกาลที่ 3 จึงได้ย้ายพระนากและพระพุทธรูปอื่นๆ ออกไป ปัจจุบันเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิของของวังหน้าในรัชกาลที่ 1-4 รวมทั้งพระอัฐิของเจ้านายในพระบรมราชจักรีวงศ์อีกด้วย

มีคำถามว่า แล้วพระนากจากหอพระนาก ถูกย้ายไปประดิษฐานที่ไหน คำตอบก็อยู่ข้างๆ หอพระนากนั่นเอง นั่นก็คือที่พระเศวตกุฎาคารวิหารยอด หรือเรียกสั้นๆ ว่าวิหารยอด ก่อนนี้วิหารยอดเป็นที่ประดิษฐานพระเทพบิดร ซึ่งเป็นเทวรูปของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) พระมหากษัตริย์ผู้ทรงสร้างกรุงศรีอยุธยา และภายหลังก็ได้ย้ายพระนาก และพระพุทธรูปศิลามาประดิษฐานไว้ด้วยกัน

อ้าว... เดินชมแค่เดี๋ยวเดียวอย่าเพิ่งทำเป็นหมดแรง เดินต่อมาทางด้านทิศใต้ของวัดพระแก้วกันบ้าง ที่หอพระคันธารราษฎร์ ซึ่งตั้งอยู่บนฐานไพที (ฐานร่วมของหลายอาคาร) เป็นที่ประดิษฐานพระคันธารราษฎร์ พระพุทธรูปปางขอฝน ตัวองค์พระนั้นสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 โดยพระคันธารราษฎร์นั้น ถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญสำหรับพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ

หอพระคันธารราษฎร์เพิ่งจะสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 และตั้งชื่อตามพระพุทธรูปที่ประดิษฐานไว้ภายใน นอกจากนั้น ภายในหอพระแห่งนี้ก็ยังมีการตกแต่งลวดลายที่เกี่ยวข้องกับการกสิกรรมต่างๆ เช่น บานหน้าต่างก็มีลวดลายเป็นรูปพระพิรุณทรงนาค และด้านล่างเป็นรูปรวงข้าว มีปูปลาแหวกว่ายอยู่ในท้องน้ำ และจิตรกรรมฝาผนังด้านในก็เป็นเรื่องราวของพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัล แรกนาขวัญและพิรุณศาสตร์อีกด้วย และบนฐานไพทีเดียวกันก็เป็นที่ตั้งของมณฑปยอดปรางค์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เช่นกัน เพื่อเป็นที่ประดิษฐานเจดีย์โบราณที่ได้มาจากภาคเหนือ

แวะชมหอระฆังกัน อีกสักหน่อย แม้จะไม่มีกิจให้ต้องใช้ระฆังบ่อยนักเพราะวัดพระแก้วนี้ไม่มีพระสงฆ์ แต่ก็สร้างขึ้นเพื่อให้ครบตามระเบียบของการสร้างวัด เชื่อกันว่าระฆังใบนี้ขุดพบที่วัดระฆัง มีเสียงไพเราะกังวานมาก เมื่อรัชกาลที่ 1 นำระฆังนี้มาไว้ที่วัดพระแก้ว พระองค์ก็โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอระฆัง พร้อมทั้งระฆังอีก 5 ลูกไว้ให้แทนที่วัดระฆัง

ทีนี้ก็มาถึงสิ่งที่ใหญ่โตขึ้นอีกนิด บนฐานไพทีใหญ่ด้านข้างพระอุโบสถ ซึ่งด้านบนนั้นมีสิ่งก่อสร้างอยู่สามสิ่งด้วยกัน คือปราสาทพระเทพบิดร พระมณฑป และพระศรีรัตนเจดีย์

สำหรับพระมณฑปนั้น เป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 เป็นที่ประดิษฐานพระไตรปิฏกฉบับทอง อยู่ในตู้มุกทรงมณฑป บรรจุพระไตรปิฏก 84,000 พระธรรมขันธ์อยู่ภายใน แต่ก่อนนี้พระมณฑปสร้างอยู่บนฐานสูงสามชั้น ยังไม่ได้อยู่บนฐานไพทีอย่างทุกวันนี้ แต่มาถึงรัชกาลที่ 4 ก็ได้ขยายฐานให้กว้างขึ้นเพื่อสร้างพระศรีรัตนเจดีย์และปราสาทพระเทพบิดาไว้ ด้วยกัน

ถัดจากพระมณฑปมาก็เป็นพระศรีรัตนเจดีย์ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่รัชกาลที่ 4 ได้มาจากลังกา รูปทรงของพระเจดีย์ก็เป็นทรงลังกา ประดับด้วยกระเบื้องโมเสกทองจากอิตาลี เมื่อส่องกระทบแสงแดดก็จะดูเจิดจ้างดงามมากๆ และภายในก็เป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์องค์เล็กที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับพระศรีรัตนเจดีย์องค์ใหญ่ที่ครอบไว้ทุกประการ

บนฐานไพทียังมีปราสาทพระเทพบิดรอีกแห่งหนึ่งที่ฉันยังไม่ได้พูดถึง รวมทั้งส่วนสำคัญที่สุดของวัดพระแก้ว นั่นก็คือพระอุโบสถและพระแก้วมรกตอีกด้วย แต่เห็นทีคงจะต้องยกยอดไปไว้คราวหน้า ต้องรอชมกันในตอนต่อไปเสียแล้วละ

พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่ที่ ถ.หน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200 ใกล้สนามหลวง เวลาทำการ : เปิดทุกวัน 08.30-16.30 น. ปิดขายบัตรเวลา 15.30 น. ค่าธรรมเนียม-ค่าเข้าชม: ชาวไทยไม่เสียค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ 200 บาท โทรศัพท์ 0-2623-5500 ต่อ 1124, 3100

การแต่งกายที่เหมาะสมในการเข้าชม ควรแต่งกายให้สุภาพ ห้ามใส่เสื้อไม่มีแขน และกางเกงขาสั้น รวมทั้งกางเกงที่ยาวไม่ถึงตาตุ่ม ผู้หญิงห้ามใส่กระโปรงสั้นหรือบางจนเกินไป และไม่ควรใส่รองเท้าแตะที่ไม่สุภาพหรือไม่มีสายรัดข้อเท้า

การเดินทาง รถ ประจำทางสาย : 1, 3, 6, 9, 15, 19, 25, 30, 32, 33, 39, 43, 44, 47, 53, 59, 60, 64, 65, 70, 80, 82, 91, 123, 201, 203 รถปรับอากาศสาย : 1, 8, 25, 38, 39, 44, 506, 507, 512 หรือเดินทางโดยทางเรือ โดยนั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาลงที่ท่าช้าง

ไปดูแมวเหมียวที่"อุทยานแมวไทยโบราณ"


"แมวขโมย ตีนแมว ฝากปลาย่างไว้กับแมว ย้อมแมวขาย แมวไม่อยู่หนูร่าเริง แมวเก้าชีวิต... ฯลฯ" ฉันเดินไปนึกไป ถึงสุภาษิตสำนวนเกี่ยวกับแมวๆที่มีอยู่มากมาย ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้ามายัง "อุทยานแมวไทยโบราณ (นัยน์ตาสองสี)" แถวๆ เขตทวีวัฒนา

นึกๆ ดูแล้ว สำนวนไทยเกี่ยวกับแมวนั้นก็มีเยอะแยะไม่ใช่เล่น ซึ่งก็น่าจะหมายความได้ว่า สัตว์สี่ขาตัวนุ่มนิ่มที่ชอบร้องเหมียวๆ กับคนไทยนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมานานแล้ว โดยเรื่องราวเกี่ยวกับแมวก็ได้มีบันทึกไว้ในสมุดข่อยโบราณว่ามีแมวประเภทใด บ้างเป็นแมวมงคล และแมวประเภทใดบ้างเป็นแมวอัปมงคล แสดงว่าแมวกับคนไทยเรานั้นผูกพันกันมายาวนานจริงๆ

แมวขาวมณี หรือขาวปลอด นัยน์ตาสองสี แห่งอุทยานแมวไทยโบราณ

และสำหรับฉัน ผู้ซึ่งถือคติ Love me love my cat ก็เคยได้ยินมาว่าที่อุทยานแมวไทยโบราณนี้ เขามีแมวน่ารักๆ อยู่หลายตัว ที่ไม่ธรรมดาก็คือแมวเหล่านี้ล้วนแต่เป็นแมวขาวมณี แมวไทยโบราณสีขาวสะอาดทั้งตัว แถมยังพิเศษตรงที่นัยน์ตาทั้งสองข้างยังมีสีแตกต่างกันอีกด้วย ดังนั้นก็เลยพลาดไม่ได้ที่จะมาชมแมวเหมียวเหล่านี้ให้ถึงที่

แต่ก่อนอื่นฉันขอเท้าความถึงแมวขาวมณีก่อนดีกว่าว่า แมวขาวมณีหรือที่เรียกว่าขาวปลอดนั้น เป็นแมวไทยที่ไม่ได้มีชื่ออยู่ในสมุดข่อยโบราณ เพราะเพิ่งจะเป็นที่รู้จักก็กันเมื่อสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นมานี้เอง แต่ก็ถือว่าเป็นแมวไทยโบราณหนึ่งในห้าพันธุ์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน ซึ่งก็ได้แก่ แมววิเชียรมาศ แมวสีสวาด แมวศุภลักษณ์ แมวโกญจา และแมวขาวมณี

เจ้าแมวขาวมณีนี้มีลักษณะเด่นก็คือจะมีขนสั้นสีขาวตลอดหัวจดหาง ไม่มีสีอื่นมาแซมเลย และหากเป็นสายพันธุ์แท้ดวงตาทั้งสองข้างก็จะมีสีที่แตกต่างกัน เช่นข้างหนึ่งเป็นสีเหลือง หรือบางตัวก็อาจเป็นสีน้ำตาล และอีกข้างหนึ่งเป็นสีฟ้าหรือสีขาว สวยงามมาก

และสำหรับแมวขาวมณีนี้ ถือว่าเป็นแมวทรงเลี้ยงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดและทรงหวงมากๆ พระองค์ทรงมอบหน้าที่ให้ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์กรมหลวงชุมพรเขต อุดมศักดิ์ พระราชโอรสเป็นผู้ดูแลและขยายพันธุ์ หน้าที่นี้สืบทอดจนมาถึงพระธิดาของพระองค์ คือหม่อมเจ้าหญิงเริงจิตรแจรงอาภากร ก่อนที่แมวขาวมณีที่เหลืออยู่ทั้งหมด 18 ตัวจะตกมาอยู่ในความดูแลของ นำดี วิตตะ เด็กชายที่หม่อมเจ้าหญิงได้อุปการะเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก และก็ได้ดูแลแมวขาวมณีเหล่านี้มาตลอด จนกลายมาเป็นผู้ก่อตั้งอุทยานแมวไทยโบราณ (นัยน์ตาสองสี) ที่ฉันได้มาชมในวันนี้ ดังนั้น แมวขาวมณีในอุทยานแมวฯ แห่งนี้จึงเป็นแมวที่สืบเชื้อสายมาจากแมวทรงเลี้ยงของรัชกาลที่ 5 คุณนำดีจึงเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี และไม่เคยขายเจ้าขาวมณีพันธุ์แท้เหล่านี้เลยสักตัว

อุทยานแมวไทยโบราณริมคลองทวีวัฒนาในวันธรรมดาที่ฉันเข้าไปชมดูเงียบ เชียบไร้ผู้คน แต่ก็ยังได้ยินเสียงแมวดังแง้วๆ แว่วๆ อยู่ด้านบนบ้านหลังใหญ่ใต้ถุนสูง เมื่อฉันขึ้นไปด้านบน จ่ายเงินค่าเข้าชมและช่วยค่าอาหารแมวไป 50 บาท แล้ว ฉันก็ได้พบกับบรรดาเหมียวๆ อ้วนท้วนสีขาวสะอาด นัยน์ตาสองสีที่ชื่อพันธุ์ขาวมณีเหล่านั้นอยู่ภายในห้องกว้างค่อนข้างโล่ง ที่มีกรงแมวขนาดไม่ใหญ่นักวางเรียงกันอยู่ 3-4 แถว และในแต่ละกรงก็มีแมวขาวมณีอยู่กรงละหนึ่งตัว นับรวมแล้วก็ได้ 14 ตัวพอดี

ผู้ดูแลท่าทางใจดีเข้ามาคุยกับฉันว่า ไม่ค่อยจะได้เห็นนักท่องเที่ยวมาในวันธรรมดามากนัก ส่วนมากจะมากันวันเสาร์อาทิตย์มากกว่า จากนั้นก็เริ่มเล่ารายละเอียดที่อุทยานแมวฯ นี้ให้ฟังว่า จริงๆ แล้วที่อุทยานแมวโบราณนี้มีแมวขาวมณีอยู่ทั้งหมด 44 ตัว แต่เอามาจัดแสดงไว้เพียง 14 ตัว โดยในแต่ละวันก็จะสลับกันออกมาโชว์ตัว ตัวไหนโชว์อยู่นานแล้วก็จะเข้าห้องไปพัก ปล่อยให้เพื่อนแมวตัวอื่นๆ ได้ออกมารับแขกบ้าง

ในตอนแรกฉันเองก็เสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้อุ้มหรือเล่นกับเจ้าแมว พวกนี้อย่างเต็มที่ เพราะมีกรงกั้นระหว่างฉันกับแมว แต่เมื่อฟังที่พี่คนดูแลแมวบอกว่า เมื่อก่อนนี้ ก่อนที่อุทยานแมวโบราณจะย้ายมาตั้งอยู่ในบริเวณปัจจุบันนั้น ก็ยังอนุญาตให้นักท่องเที่ยวได้อุ้มได้กอด แต่ปรากฏว่า แมวเหล่านั้นเฉามือคน แถมบางตัวยังติดโรคจากคนโดยการเลียหรือสัมผัสจนตายไปหลายตัว ในปัจจุบันก็เลยทำกรงไว้ให้แมวแต่ละตัวได้อยู่กัน

ดังนั้นแม้จะเสียดาย แต่คิดอีกทีทำแบบนี้ก็น่าจะเป็นการดีกว่า เพราะลองคิดดูสิว่า หากวันไหนนักท่องเที่ยวมากันเยอะๆ แมวที่โดนอุ้มโดนกอดโดยคนไม่รู้จักไม่คุ้นเคยแถมโดนอุ้มเป็นสิบๆ ครั้งก็น่าจะเหนื่อยไปเหมือนกัน แถมเสียสุขภาพจิตอีกต่างหาก

กรงแมวที่ฉันเห็นนี้แม้จะไม่เล็กมากขนาดที่ทำให้แมวอึดอัด แต่ก็ไม่ได้กว้างขวางขนาดที่จะสามารถวิ่งเล่นได้สบายๆ ด้วยความเป็นห่วงกลัวแมวจะไม่ได้ออกกำลังกาย ฉันจึงถามพี่ผู้ดูแลในเรื่องนี้ ซึ่งก็หมดกังวลได้ เพราะพี่เขาบอกว่า หลังจากที่อุทยานแมวฯ ปิดให้บริการในแต่ละวันแล้ว ประมาณห้าโมงเย็น แมวเหล่านี้ก็จะได้ไปวิ่งเล่นในสนามหลังบ้าน วิ่งไล่กันหรือปีนป่ายต้นไม้ไปตามเรื่อง แมวที่นี่จึงมีสุขภาพดีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์

พี่คนดูแลแมวยังบอกกับฉันอีกว่า ด้วยความที่แมวเหมียวขาวมณีเหล่านี้เป็นแมวที่สืบเชื้อสายมาจากแมวของรัชกาล ที่ 5 คุณนำดี ผู้เป็นเจ้าของจึงตั้งชื่อว่า "เจ้า" นำหน้าทุกตัว ทั้งเจ้าฟ้าเงินฟ้าทอง เจ้าเปรียว และอีกมากมายหลายเจ้า อย่างที่ฉันบอกไปแล้วว่าบรรพบุรุษของแมวเหล่านี้เคยเป็นแมวของพระมหา กษัตริย์ และไม่มีการขายแมวขาวมณีสายพันธุ์แท้ คุณนำดีผู้ก่อตั้งอุทยานแมวฯ จึงถวายแมวเหล่านี้ให้แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ก็โปรดให้แมวเหล่านี้อยู่ที่อุทยานแมวฯ เพื่อให้ประชาชนได้ชมกันต่อไป

ฉันเดินเล่นทักทายเจ้าเหมียวขาวมณีจนครบทุกตัว บางตัวเอาแต่นอนหลับอุตุไม่สนใจฉันเลย แถมบางตัวไม่อยากเห็นหน้าผู้คนก็เลยเอาหัวมุดใต้ที่นอนซะอย่างนั้น แต่แมวตัวอื่นๆ นั้นขี้เล่นและขี้อ้อนน่าดู แม้จะเล่นกันผ่านกรงก็เถอะ ฉันเห็นแล้วก็อยากจับมากอดแรงๆ สักที

นอกจากจะได้มารู้จักกับแมวขาวมณีและได้มาชมแมวเหมียวที่แสนจะน่ารัก แล้ว การที่ได้มาเยี่ยมชมอุทยานแมวฯ ก็ทำให้ฉันรู้สึกว่า น่าดีใจที่แมวพันธุ์ไทยที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของเรายังมีผู้ที่ตั้งใจ อนุรักษ์ไว้ เพราะฉะนั้นฉันขอเชิญชวนบรรดาคนรักแมวทั้งหลายให้แวะมาเยี่ยมเยียนเหมียวๆ เหล่านี้กันบ้าง รับรองว่าต้องหลงเสน่ห์แมวขาวมณีแน่นอน

อุทยานแมวไทยโบราณ (นัยน์ตาสองสี) ตั้งอยู่ที่ 103 หมู่ที่ 10 ถ.ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ 10170 เปิดบริการ 10.00-17.00 น. ทุกวัน ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 0-9765-6697

การเดินทาง จากสายใต้ใหม่ขับรถมาทางถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี มาจนถึงพุทธมณฑลสาย 4 แล้วให้ขับไปทางมหาวิทยาลัยมหิดลศาลายา จากนั้นให้กลับรถเข้าสู่ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรีอีกครั้ง (ฝั่งที่มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนทวีวัฒนา (ถนนเลียบคลองทวีวัฒนา) มาอีกประมาณ 400 เมตร อุทยานแมวโบราณจะอยู่ทางขวามือริมคลองทวีวัฒนา สามารถจอดรถได้บริเวณด้านหน้า หรือหากมาทางรถประจำทาง มีสาย 124, 125, 515 หรือรถตู้ปรับอากาศ พาต้าปิ่นเกล้า-พุทธมณฑลสาย 4 ผ่าน

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

ยล"วังวรดิศ" รำลึกวันดำรงราชานุภาพ


ตำหนักใหญ่ในวังวรดิศซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์
วันที่ 1 ธันวาคมที่จะมาถึงนี้อาจจะดูเหมือนเป็นเพียงวันเริ่มต้นของเดือนสุดท้ายของ ปี ในขณะที่อีกหลายๆคน วันนี้คือวันอิ่มอกอิ่มใจกับเงินเดือนในกระเป๋าที่เพิ่งรับมาสดๆร้อนๆ แต่หากมองให้ลึกลงไปวันที่ 1 ธันวาคม ถือเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทยอีกวันหนึ่ง

สำหรับวันสำคัญที่ว่า ก็คือ "วันดำรงราชานุภาพ" เป็นวันที่ตั้งขึ้นเพื่อรำลึกถึงสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ บุคคลสำคัญของประเทศไทยและของโลก ตามที่องค์การยูเนสโกยกย่อง ซึ่งถือเป็นคนไทยคนแรกที่ทรงได้รับเกียรตินี้ด้วย

หลายๆ คนคงจะเคยได้ยินชื่อของพระองค์ท่านบ่อยๆ แล้ว โดยสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพนั้น ทรงเป็นพระราชโอรสลำดับที่ 57 ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 กับเจ้าจอมมารดาชุ่ม มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร และเป็นพระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ได้ทรงถวายงานใกล้ชิด ซึ่งรัชกาลที่ 5 เปรียบสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่าทรงเป็น "มือขวา" คอยช่วยเหลือการงานต่างๆ ในบ้านเมืองได้อย่างดียิ่ง



ด้านหน้าตำหนักใหญ่ในวังวรดิศซึ่งจัดเป็นพิพิธภัณฑ์
พระองค์ทรงเป็นองค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย โดยผลงานในด้านการปกครองของพระองค์ก็คือ ทรงได้ปฏิรูปการปกครองโดยแบ่งประเทศออกเป็น 71 จังหวัด อันเป็นรากฐานสำคัญในการปกครองและบริหารท้องที่ในปัจจุบัน และได้ปรับปรุงการบริหารราชการให้ทันสมัยตามอย่างอารยประเทศ ทั้งยังทรงเป็นองค์ปฐมผู้บัญชาการทหารบก อธิบดีกรมศึกษาธิการ (ตำแหน่งเทียบเท่าเสนาบดีกระทรวงศึกษาธิการ) ฯลฯ

นอกจากนั้นยังทรงเป็นผู้บุกเบิกงานด้านโบราณคดีไทยศึกษา โดยทรงนิพนธ์หนังสือที่มีคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีไว้เป็น จำนวนมาก จนกระทั่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "องค์พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์และโบราณคดี" เลยทีเดียว และไม่แต่เพียงเท่านี้ ในวงการมัคคุเทศก์ก็ยังยกย่องให้ท่านเป็น "องค์พระบิดาของมัคคุเทศก์ไทย" เนื่องจากพระองค์ต้องเสด็จไปตรวจราชการที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ ประกอบกับทรงมีพระนิสัยชอบเสด็จประพาสหัวเมือง จึงมักได้รับหน้าที่ "Lord Program Maker" หรือผู้จัดโปรแกรมท่องเที่ยวให้กับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระมหากษัตริย์ในรัชกาลต่อๆ มาอีกด้วย

ด้วยคุณงามความดีของพระองค์ที่ทรงประกอบมาตลอดพระชนม์ชีพนี้ จึงเหมาะสมแล้วที่องค์การยูเนสโกประกาศยกย่องให้พระองค์เป็น “บุคคลสำคัญของโลก” ในวันครบรอบวันประสูติ 100 ปี และทางคณะรัฐมนตรีก็ได้มีมติเห็นชอบให้วันที่ 1 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์เป็น "วันดำรงราชานุภาพ" ด้วยประการฉะนี้

และเพื่อเป็นการรำลึกถึงพระองค์เนื่องใน "วันดำรงฯ" ที่กำลังจะมาถึงนี้ ฉันจะขอพาไปเยี่ยมชมวังของท่านบนถนนหลานหลวง ที่มีชื่อวังไพเราะว่า "วังวรดิศ" ซึ่งตอนนี้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมเรื่องราวของสมเด็จฯ เอาไว้

แม้ว่าวังจะตั้งอยู่ในย่านกลางเมืองของกรุงเทพฯ แต่เมื่อเข้าไปในเขตรั้ววังแล้วเสียงรถราขวักไขว่ภายนอกก็ไม่ตามเข้ามารบกวน อีก ทั้งยังร่มรื่นด้วยเงาของต้นไม้ใหญ่มากมาย ที่ดินบริเวณนี้เดิมเป็นของเจ้าจอมมารดาชุ่ม พระมารดาของพระองค์เอง และต่อมารัชกาลที่ 5 ก็ได้พระราชทานที่ดินรอบๆ วังเพิ่มให้อีกเพื่อเป็นรางวัลในการที่สมเด็จฯ กรมหลวงดำรงราชานุภาพ (พระยศในขณะนั้น) ได้ทรงจัดการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล และกระทรวงมหาดไทยสยามใหม่ได้เป็นผลสำเร็จ อีกทั้งวังเก่าที่ริมถนนเจริญกรุงคับแคบลงเนื่องจากมีการสร้างอาคารขึ้นรอบ วัง ทำให้พระองค์ต้องย้ายมายังวังใหม่ คือวังวรดิศในปัจจุบัน



ค่าก่อสร้างตำหนักนั้นเป็นเงิน 50,000 บาทด้วยกัน ซึ่งสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถพระพันปีหลวง และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์พระราชทานให้ และสถาปนิกผู้ออกแบบนั้นก็เป็นคนเดียวกับที่ออกแบบพระราชวังบ้านปืนที่ จังหวัดเพชรบุรี และวังบางขุนพรหมด้วย นั่นคือนาย คาร์ล ดอห์ริง ชาวเยอรมันนั่นเอง

ทีนี้เข้าไปดูด้านในกันบ้างดีกว่า ตำหนักใหญ่ของวังวรดิศนี้มีสองชั้นด้วยกัน ด้านล่างจัดเป็นห้องรับแขกซึ่งสมเด็จฯ ทรงเรียกว่าห้อง Study ตกแต่งด้วยเครื่องเรือนแบบยุโรป มีรูปจำลอง Piata จากประเทศอิตาลีตั้งอยู่ด้วย และก็ยังมีห้องจีน ตกแต่งแบบจีน มีประติมากรรม ฮก ลก ซิ่วตั้งอยู่ แสดงถึงสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศสยามและประเทศจีน จุดเด่นของห้องอยู่ที่ชุดรับแขกประดับมุกแบบจีนอันงดงามซึ่งได้รับพระราชทาน มาจากรัชกาลที่ 5

ถัดไปเป็นห้องเสวย ซึ่งใช้เป็นที่รับรองเวลาที่พระมหากษัตริย์รวมทั้งพระราชอาคันตุกะเสด็จมา นอกจากนั้นห้องเสวยนี้ยังใช้เป็นที่ฝึกฝนนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงให้รู้จัก วัฒนธรรมประเพณีแบบตะวันตกก่อนที่จะไปเรียนยังต่างประเทศ โดยพระองค์ทรงเป็นครูฝึกสอนเองอีกด้วย

ส่วนระเบียงด้านหลังตำหนักก็เป็นสถานที่ที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงโปรดใช้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์แบบไทยๆ คือประทับนั่งกับพื้น โดยใช้เป็นเหมือนระเบียงอเนกประสงค์ ทั้งเป็นที่เสวยกระยาหารกับพระโอรสพระธิดา รับสั่งสนทนากับผู้มาเฝ้า ฯลฯ

ขึ้นบันไดเวียนไปยังชั้นบนกันต่อ ด้านบนนี้มีห้องบรรทม ห้องแต่งพระองค์ซึ่งยังมีฉลองพระองค์บางส่วนตั้งอยู่ และห้องทรงพระอักษร มีโต๊ะซึ่งเคยทรงงานตั้งอยู่ โดยข้าวของส่วนใหญ่นั้นก็จะจัดวางตกแต่งในรูปแบบเดิมเหมือนสมัยที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ จะมีการตกแต่งเพิ่มเติมเล็กน้อยก็ด้วยสิ่งของที่เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงการ เสด็จเยือนยังสถานที่ต่างๆ ของสมเด็จฯ ที่ทายาทได้รวบรวมไว้

ทั้งยังมีห้องเกียรติสถิต หรือ Hall of Fame ที่ประดับรูปภาพของบุคคลในราชสกุลดิศกุลที่ประกอบคุณงามความดีไว้ เช่น ม.จ. จงจิตรถนอม ดิศกุล ม.จ. พูนพิศมัย ดิศกุล ม.จ. มารยาตรกัญญา ดิศกุล พลเรือเอก ม.จ. กาฬวรรณดิศ ดิศกุล พลโท ม.จ. พิสิฐดิศพงษ์ ดิศกุล ม.ร.ว. สังขดิศ ดิศกุล เป็นต้น

ส่วนห้องที่มีความสำคัญสูงสุดของวังก็คือ ห้องพระบรมอัฐิ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกในรัชกาลที่ 5 ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพจะเสด็จเข้าไปกราบถวายบังคมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ห้องพระบรมอัฐิเป็นประจำทุกวัน

ที่ฉันรู้สึกก็คือบรรยากาศของวังวรดิศนั้นไม่ดูขลังขรึมเหมือนกับวัง อื่นๆ ที่เคยไป แต่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านที่มีคนอยู่อาศัยและได้รับการดูแลรักษาอย่าง ดีจากเจ้าของบ้าน ซึ่งในตอนนี้ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ทายาทชั้นเหลนในสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และประธานพิพิธภัณฑ์และหอสมุดสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เป็นเจ้าของวังวรดิศแห่งนี้อยู่

และนอกจากวังวรดิศแล้ว บริเวณวังก็ยังเป็นที่ตั้งของ “หอสมุดดำรงราชานุภาพ” เป็นที่เก็บรักษาหนังสือที่พระองค์ทรงสะสมไว้ทั้งภาษาไทยและต่างประเทศกว่า 7,000 เล่ม ซึ่งหม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล พระธิดา ได้ทูลขอหนังสือเหล่านี้เพื่อจะนำไปทำ "ห้องดำรง" โดยทรงให้เหตุผลว่า พระองค์ท่านคงจะเสียใจมาก ถ้าพบลายพระหัตถ์

หอสมุดดำรงราชานุภาพนี้เดิมตั้งอยู่ที่ระหว่างหอพระสมุดวชิรญาณ (ตึกถาวรวัตถุ) กับวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นอาคารทรงไทยชั้นเดียว แต่ต่อมาได้มีการสร้างอาคารใหม่ขึ้นในบริเวณวังวรดิศเพื่อจัดทำเป็นหอสมุด ดำรงราชานุภาพ โดยเป็นอาคาร 3 ชั้น ทรงยุโรป ฉันได้เข้าไปดูภายในแล้วก็ต้องทึ่งกับหนังสือเก่าโบราณมากมาย ล้วนแล้วแต่น่าสนใจทั้งสิ้น ใครสนใจก็เข้าไปค้นหาหนังสือกันได้ แต่หนังสือเก่าๆ ก็ต้องติดต่อบรรณารักษ์ให้จัดการให้

วันที่ 1 ธันวาคมนี้ หากใครต้องการจะมารำลึกถึงพระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย พระบิดาแห่งมัคคุเทศก์ไทย หรือสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพผู้มีคุณูปการหลายต่อหลายด้านต่อประเทศไทย ก็เชิญได้ที่วังวรดิศ และหอสมุดดำรงราชานุภาพ

พิพิธภัณฑ์วังวรดิศ และหอสมุดดำรงราชานุภาพ ตั้งอยู่ที่ 182 ถนนหลานหลวง เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. 10100 สอบถามรายละเอียดโทร.0-2282-9110, 0-2281-7577, 0-2280-2133 พิพิธภัณฑ์วังวรดิศเปิดให้เข้าชมทุกวันและเวลาราชการโดยไม่มีการเก็บค่าชม โดยต้องทำหนังสือแจ้งล่วงหน้า และต้องเข้าชมเป็นหมู่คณะ ส่วนหอสมุดดำรงราชานุภาพเปิดให้บริการทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-16.30 น.

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

ราชพฤกษ์เพลินตา ชมพฤกษาเมืองกรุง


หอรัชมงคล ภายในสวนหลวง ร.9
เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่งานมหกรรมพืชสวนโลกที่จังหวัด เชียงใหม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม กระแสของงานราชพฤกษ์นี้ก็แรงไม่ใช่เล่น จนตอนนี้ใครต่อใครก็อยากจะไปเชียงใหม่กันเป็นแถวๆ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่มีโอกาส ไปหรือไม่มีเวลา ก็เลยได้แต่ติดเอาไว้ก่อน

เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับฉัน เพราะนอกจากระยะเวลาการจัดแสดงงานราชพฤกษ์ที่จะยาวไปจนถึงปลายเดือนมกราคมปี หน้าแล้ว หากใครที่เป็นคนรักถนอมบุปผา เมื่อดอกไม้เบ่งบานในหัวใจ ไม่ว่าดอกไม้ที่ไหนๆก็สามารถดูให้งดงามได้ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงออกตะลอนเมืองกรุงในอารมณ์ดอกไม้บานไปดูสวนสวยและดอกไม้ งามตามสถานที่ต่างๆรับเหมันต์ฤดู

สถานที่แห่งแรกที่ให้อารมณ์น้องๆงานพืชสวนโลกก็ต้องที่นี่เลย "สวนหลวง ร.9" ที่เขาจัดงาน "พรรณไม้งามอร่ามสวนหลวง ร.9" ต่อเนื่องกันมาจนปีนี้ก็เป็นครั้งที่ 19 แล้ว

สำหรับงานพรรณไม้งามฯ นี้ก็เป็นงานประจำปีที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจกันมากทีเดียว ฉันเองก็เคยพาเที่ยวชมดอกไม้สวยๆ ไปแล้วครั้งหนึ่งเช่นกัน ดังนั้นบรรยากาศภายในงานก็ไม่ต้องพูดถึง แน่นอนว่าต้องเต็มไปด้วยดอกไม้สวยๆ แน่ๆ เพราะทางสวนเขาได้จัดเอาไม้ดอกไม้ประดับ และสวนนานาชาติ ทั้งสวนอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา สเปน อิตาลี จีน และญี่ปุ่น มาจัดแสดงให้ได้ชมกัน

สวนดอกไม้ที่จัดแสดงภายในสวนหลวง ร.9 นั้น ก็มีมากมายหลายพันธุ์ ส่วนมากจะเน้นดอกไม้แบบไทยๆ สีสันสวยงาม และแน่นอนว่าเมื่อมีต้นไม้ดอกไม้ สิ่งที่จะตามมาติดๆ ก็คือแมลงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขวัญใจช่างภาพอย่างผีเสื้อก็ต้องแวะมาเยี่ยมเยียนด้วยเช่น กัน และไม่ได้มีเพียงเฉพาะสวนดอกไม้กลางแจ้งเท่านั้น แต่ที่งานพรรณไม้งามฯ ก็ยังมีการจัดแสดงพันธุ์ไม้ในร่ม ในอาคารโดมแสดงพันธุ์ไม้ ที่จะมีต้นไม้จำพวกบัว รวมทั้งพันธุ์ไม้ทะเลทรายอย่างกระบองเพชรนานาชนิดไว้ด้วย

และถ้าหากว่าที่งานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่มีหอคำหลวงเป็นไฮไลท์ของงาน ที่สวนหลวง ร.9 นี้ก็มีหอรัชมงคลเป็น ไฮไลท์ด้วยเหมือนกัน โดยภายในหอรัชมงคลก็ได้เป็นที่จัดแสดงพระราชประวัติ และพระจริยวัตรในด้านต่างๆ รวมทั้งโครงการพระราชดำริอีกมากมายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เพียงมีหอรัชมงคลเท่านั้น ที่นี่ยังมีพลับพลายอด ซึ่งได้จำลองเอาพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์จากพระราชวังบางปะอินมาไว้ที่นี่ เป็นมุมถ่ายรูปที่สวยงามเช่นกัน

สำหรับงานพรรณไม้งามอร่ามสวนหลวง ร.9 ในปีนี้ก็จะจัดขึ้นในวันที่ 1-11 ธันวาคม 2549 นี้ กิจกรรมพิเศษนอกจากมาชมดอกไม้แล้ว ก็ยังมีการประกวดต้นลีลาวดีและชวนชม ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีอีกด้วยล่ะ

และสถานที่ถัดมาที่ฉันจะพาไปชมสวนดูดอกไม้ก็คือที่ “สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์” ที่ตั้งอยู่ด้านหลังสวนจตุจักร และอยู่ในรั้วเดียวกับพิพิธภัณฑ์เด็กนี่เอง สวนแห่งนี้เป็นสวนที่จัดสร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายแด่สมเด็จพระราชินี เนื่องในวโรกาสที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุครบ 60 พรรษา เมื่อปี พ.ศ.2535 และแม้จะไม่ได้มีการจัดงานใดๆ เป็นพิเศษ แต่ที่สวนนี้ก็มีดอกไม้ให้ดูกันตลอดปี

ด้วยความที่สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์นี้สร้างขึ้นด้วยความตั้งใจจะให้เป็น "สวนป่า" ดังนั้นใครที่ชื่นชอบชื่นชมเรื่องของต้นไม้ดอกไม้รับรองมาที่นี่ไม่ผิดหวัง แน่นอน เพราะพื้นที่สวนกว่า 140 ไร่ นี้ เต็มไปด้วยไม้ยืนต้น ไม้ดอก และพันธุ์ไม้ต่างๆ มากมาย เรียกว่าหากจะเดินชมกันแบบจริงๆ จังๆ ก็อาจเกิดอาการขาลากได้เลยทีเดียว

ใครที่เข้ามาชมภายในสวนสมเด็จฯ นี้ ก็จะได้พบกับสวนพฤกษศาสตร์ที่มีต้นไม้หลากหลาย แบ่งโซนเป็นต้นไม้สายพันธุ์ต่างๆ เช่นที่ "ลานชบา" ก็จะมีต้นชบากว่า 100 สายพันธุ์ กำลังออกดอกสวยงามหลากสีสัน ทั้งสีชมพู สีส้ม สีขาว และ "ลานอโศก" ใครที่ยังไม่เคยเห็นต้นอโศกและดอกอโศกก็มาชมกันได้ที่นี่ แล้วก็ยังมี "ลานลั่นทม" ที่มีลั่นทมหลากสี แต่ต้องรอหน้าร้อนถึงจะออกดอกเต็มต้นพร้อมเพรียงกัน และที่น่าชมก็ต้อง "ลานบัว" ที่มีดอกบัวสีสันสวยงามทั้งพันธุ์ไทยและต่างประเทศลอยคอดึงดูดแมลงให้เข้ามาหา

นอกจากนั้นที่นี่ก็ยังได้รวบรวมเอา "ดอกไม้พระนาม" ซึ่งได้นำเอาพระนามของสมเด็จพระราชินีไปตั้งเป็นชื่อดอกไม้ เช่น ดอกกล้วยไม้แคทลียาควีนสิริกิติ์ ดอกกุหลาบควีนสิริกิติ์ ดอกดอนญ่าควีนสิริกิติ์ เป็นต้น โดยดอกไม้เหล่านี้ก็มีสีสันและรูปทรงที่สวยงาม สมกับชื่อที่ได้รับพระราชทานพระนามของสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

ต้นไม้หายากที่นี่ก็มีเช่นกัน เช่น ย่านดาโอ๊ะ หรือ ต้นเถาใบสีทอง ไม้หายากของไทยที่พบได้เฉพาะในอุทยานแห่งชาติเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาสเท่านั้น ความพิเศษของต้นนี้ก็คือใบจะมีขนคล้ายกำมะหยี่ปกคลุมอยู่ และจะเปลี่ยนเป็นสีทองแดงเหลือบรุ้งในเดือนสิงหาคม-กันยายน และเป็นสีเงินในเดือนตุลาคม

นอกจากนี้ที่สวนสมเด็จฯ ก็ยังมีกล้วยไม้หลายสายพันธุ์ด้วยเช่นกัน อยู่ภายในอาคารกล้วยไม้เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ แต่ตอนนี้ยังไม่เปิดให้เข้าชม เพราะต้องรอให้มีการเปิดอาคารอย่างเป็นทางการเสียก่อน โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ จะเสด็จมาเปิดในช่วงประมาณเดือนธันวาคมนี้

เดินมาสองสวนจนชักจะเหนื่อย ฉันขอพักเข้ามาหลบร้อนและพักเหนื่อยที่ "อุทยานการเรียนรู้" หรือ TK Park ที่บนชั้น 8 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวิลด์ พลาซ่า เสียหน่อย ที่นี่เขาก็ไม่น้อยหน้างานพืชสวนโลกที่เชียงใหม่เหมือนกัน เพราะในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ทาง TK Park ได้จัดกิจกรรม "มหัศจรรย์พรรณพฤกษ์" ขึ้น โดยในแต่ละอาทิตย์ก็จะมีกิจกรรมแตกต่างกัน ที่ผ่านมาก็เช่น นิทรรศการและกิจกรรมเรื่อง"หลากหลายเรื่องระบบนิเวศ" ได้รับความรู้เกี่ยวกับป่าชายเลน ต่อด้วยหัวข้อ "เฟิน : พืชดึกดำบรรพ์" ก็ได้รู้จักกับพรรณไม้เก่าแก่ของโลก และที่ผ่านมาหมาดๆ ก็คือกิจกรรม "โลกสวยด้วยกล้วยไม้" ที่ผู้เข้าร่วมจะได้ทั้งปลูกกล้วยไม้ วาดรูปกล้วยไม้ ฯลฯ

แม้จะเป็นสัปดาห์สุดท้ายของงาน "มหัศจรรย์พรรณพฤกษ์" แต่กิจกรรมในวันที่ 25-26 พฤศจิกายนนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย คือหัวข้อ "เสพศิลป์กลิ่นพฤกษา" โดยจะมีกิจกรรมดนตรีในสวน การใช้กลิ่นหอมของดอกไม้บำบัด และการสร้างศิลป์จากพฤกษา นอกจากนั้นแล้ว บริเวณลานสานฝัน ซึ่งเป็นสถานที่จัดกิจกรรมภายใน TK Park ก็ยังได้จัดเป็นมุมสวนหย่อมไว้ โดยมีทั้งมุมพืชทะเลทราย มุมกล้วยไม้ และมุมเฟินให้ความรู้ไว้ด้วย แม้จะไม่กว้างใหญ่เท่าสวนกลางแจ้งของที่อื่นๆ แต่ก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย แถมงานนี้ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ก็เข้าร่วมได้ไม่แปลกแยก มาเป็นครอบครัวได้ก็ยิ่งดี

สามสถานที่ที่ฉันแนะนำมานี้ก็หวังว่าจะเป็นทางเลือกให้ผู้ที่ต้อง แกร่วอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ไปชมงานพืชสวนโลกที่จังหวัดเชียงใหม่ได้ลองไปชมกันดู ถ้าไม่คิดมากว่าจะต้องไปดูสวนภูฏาน หรือดอกทิวลิปจากเนเธอแลนด์ให้ได้แล้วละก็ งานพืชสวนที่กรุงเทพฯ นี้ก็มีดีไม่แพ้ใครเหมือนกันล่ะ

"สวนหลวง ร.9" ตั้งอยู่ที่ ถนนสุขุมวิท 103 (อุดมสุข) แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. เปิดบริการให้ชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. ค่าผ่านประตู คนละ 10 บาท สอบถามโทร.0-2328-1385-6

"TK Park" (ทีเค ปาร์ค) ตั้งอยู่ที่ ชั้น 8 เซ็นทรัลเวิลด์ พลาซ่า สี่แยกราชดำริ เปิดบริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 11.00-20.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-20.00 น.ให้บริการอ่านหนังฟรี แต่ถ้าต้องการยืมหนังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต หรือใช้บริการโซนมินิเธียเตอร์ต้องสมัครสมาชิก สอบถามโทร. 0-2250-7620

"สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์" ตั้งอยู่ที่ถนนกำแพงเพชร 2 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ด้านหลังสวนจตุจักร รั้วเดียวกับพิพิธภัณฑ์เด็ก เปิดให้บริการ 05.00 -18.30 น. ทุกวัน สอบถามโทร.0-2272-4358-9

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

ย่ำกรุงตามรอยพระราชอาคันตุกะ


วัดพระแก้ว เป็นสถานที่หนึ่งที่พระราชอาคันตุกะให้ความสนใจไปเยี่ยมชม
เชื่อว่าหลายคนคงยังจำความสุขและความปลื้มปีติที่เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ดีแม้จะผ่านมากว่า 5 เดือนแล้ว

ฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากให้วันดีๆ เหล่านั้นผ่านไปเร็วนัก เพราะยังจำได้ถึงความปลื้มใจที่เห็นพระราชอาคันตุกะจากหลายประเทศเสด็จมา ถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวของเรา และพระราชอาคันตุกะแต่ละพระองค์ต่างก็ได้เสด็จไปท่องเที่ยวยังที่ต่างๆ ของประเทศ ก็น่าดีใจว่าสถานที่ท่องเที่ยวของเรานั้นได้มีแขกผู้มีเกียรติจากต่างถิ่นมา เยี่ยมเยียน

ด้วยเหตุนี้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ วัดพระแก้ว. เขาก็เลยปิ๊งไอเดียอยากให้ประชาชนได้มาท่องเที่ยวตามรอยพระราชอาคันตุกะกัน บ้าง จึงได้จัดเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยพระราชอาคันตุกะทั้งทางบกและทางน้ำขึ้น แต่จะไปเที่ยวที่ไหนบ้างนั้นต้องลองไปดูกัน

เริ่มต้นกันที่พระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว วัดคู่บ้านคู่เมืองของไทยเรา มีพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกตเป็นพระประธานในพระอุโบสถ และเป็นที่เคารพศรัทธาของคนทั่วประเทศ นอกจากนั้นแล้ว วัดพระแก้วยังถือเป็นที่รวมของสุดยอดศิลปกรรมไทยหลายแขนงเอาไว้ ทั้งในด้านสถาปัตยกรรมอันมีสิ่งก่อสร้างงดงามต่างๆ ทั้งพระเจดีย์ พระมณฑป และหอพระต่างๆ ในด้านจิตรกรรม ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่นี่ก็นับเป็นที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาดชม

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ก็ยังจะได้ไปชมพระบรมมหาราชวัง สถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในอดีต ซึ่งมีพระที่นั่งงดงามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระที่นั่งอมรินทวินิจฉัย พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท และสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมาย โดยทั้งสองสถานที่นี้ก็มีพระราชอาคันตุกะหลายพระองค์ทีเดียวที่ได้เสด็จมาชม ไม่ว่าจะเป็นสมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 แห่งราชอาณาจักรเลโซโท เจ้าชายอัลแบร์ที่ 2 แห่งราชรัฐโมนาโก เจ้าชายอาโลอิส มกุฎราชกุมาร และเจ้าหญิงโซฟี มกุฎราชกุมารี พระชายาแห่งราชรัฐลิกเตนสไตน์ เจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ มกุฎราชกุมาร และเจ้าหญิงมักซิมา มกุฎราชกุมารีแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์

มาต่อกันใกล้ๆ ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือวัดโพธิ์ วัดที่เป็นเสมือนมหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย เป็นแหล่งรวมสรรพวิทยาการต่างๆ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านวรรณกรรม ฯลฯ รวมทั้งสิ่งล้ำค่าต่างๆ ไว้มากมาย เมื่อมาถึงวัดโพธิ์แล้วต้องไม่พลาดไปสักการะพระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถที่มีพุทธลักษณะงดงามราวกับเทวดามาสร้างไว้ จากนั้นจึงไปกราบพระพุทธไสยาสน์ พระพุทธรูปนอนองค์ใหญ่ และชมลายประดับมุกมงคล 108 ประการที่พระบาทของพระนอน และอย่าลืมไปกราบสักการะเจดีย์สี่รัชกาลที่ตั้งอยู่ใจกลางวัดโพธิ์ และชมตุ๊กตาศิลาจีนอันมีชื่อเสียงของวัดโพธิ์ด้วยล่ะ

เดินทางกันต่อผ่านถนนราชดำเนินมาที่วัดเทพธิดาราม วัดที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระราชทานแก่พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นอัปสร สุดาเทพ พระราชธิดาองค์ใหญ่ในรัชกาลที่ 3 ซึ่งทรงได้รับใช้เป็นที่โปรดปรานอย่างยิ่งของพระราชบิดา

วัดนี้สร้างตามแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ 3 คือทั้งพระอุโบสถ พระวิหารของวัดนี้ไม่มีช่อฟ้า ใบระกาและหางหงส์ ส่วนที่หน้าบันก็ประดับด้วยเครื่องกระเบื้องจีนแทน ส่วนภายในพระอุโบสถก็น่าสนใจไม่น้อย มีพระประธานที่สร้างด้วยศิลาขาวที่อัญเชิญมาจากพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน เฉลิมพระนามว่า "พระพุทธเทววิลาศ"

ส่วนในพระวิหารก็ยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ เพราะด้านหน้าพระประธานในพระวิหารนั้น มีรูปหมู่อริยสาวิกา (ภิกษุณี) ที่ได้รับเอตทัคคะ หล่อด้วยดีบุกประดิษฐานถึง 52 องค์ โดยแต่ละองค์ จะมีใบหน้าและอิริยาบถที่แตกต่างกัน โดยมีพระนางปชาบดีโคตรมี (เอตทัคคะด้านรัตตัญูญู) พระน้านางของพระพุทธเจ้าและถือเป็นภิกษุณีองค์แรก ประดิษฐานอยู่ตรงกลาง

นอกจากนั้นที่นี่ก็ยังมีกุฏิที่สุนทรภู่ กวีเอกสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เคยจำพรรษาขณะบวชเป็นพระภิกษุอยู่ด้วย ซึ่งปัจจุบันทางวัดได้อนุรักษ์กุฏิไว้และเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมได้ทุก วัน

ติดๆ กับวัดเทพธิดารามก็คือวัดราชนัดดาราม วัดที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระราชทานเป็นเกียรติแก่พระราชนัดดา คือ พระเจ้าหลานเธอพระองค์เจ้าหญิงโสมนัสวัฒนาวดี (ซึ่งภายหลังเป็นพระมเหสีในรัชกาลที่ 4) วัดแห่งนี้มีความโดดเด่นตรงที่โลหะปราสาทงามสง่าที่รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พระนครแทนการสร้างพระเจดีย์เช่นพระอาราม อื่น นับเป็นโลหะปราสาทแห่งที่ 3 ของโลก ลักษณะของปราสาทสูง 3 ชั้น มียอดทั้งหมด 37 ยอด หมายถึงโพธิ์ปักขิยธรรม 37 ประการ ตรงกลางสร้างเป็นมณฑปภายในเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ มีบันไดไม้เวียน 67 ขั้น รอบแกนที่เป็นเสาไม้ใหญ่ขึ้นไปด้านบนให้เดินขึ้นไปดูทิวทัศน์ของกรุงเทพมหา นครด้านบนได้

บริเวณด้านข้างวัดราชนัดดารามก็คือลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ซึ่ง เป็นสถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และมีพระบรมราชานุสาวรย์ของรัชกาลที่ 3 พระมหากษัตริย์ที่ทรงมีศรัทธาแรงกล้าต่อพระพุทธศาสนาอยู่ที่นี่ด้วย

คราวนี้เดินทางกันไกลหน่อย มาถึงพิพิธภัณฑ์วังสวนผักกาดกัน บ้าง ในอดีตนั้นวังแห่งนี้เคยเป็นที่พำนักของ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต และพระชายา ม.ร.ว.พันธุ์ทิพย์ บริพัตร ซึ่งพระองค์เจ้าจุมภฏนี้เป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล ที่ 5

เหตุที่วังแห่งนี้ได้ชื่อว่าวังสวนผักกาด ก็เนื่องจากเคยเป็นสวนผักกาดเก่ามาก่อน และท่านเจ้าของวังนั้นทรงโปรดปรานเครื่องประดับเรือนเป็นอย่างยิ่ง พระองค์จึงทรงตกแต่งตำหนักด้วยโบราณวัตถุหลายประเภท ดังนั้นหลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ลง พระชายาจึงได้อุทิศวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณท์จัดแสดงโบราณวัตถุ และเปิดให้บุคคลภายนอกเข้าชมได้นับแต่นั้นมา

นอกจากนั้นก็ยังมีการจัดแสดง "พิพิธภัณฑ์ดนตรี ทูลกระหม่อมบริพัตรฯ" ที่ภายในมีการจัดแสดงเครื่องดนตรีไทยในทูลกระหม่อมบริพัตรฯ ซึ่งพระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็น "พระบิดาแห่งเพลงไทยสากล" โดยเครื่องดนตรีที่จัดแสดงอยู่ภายในห้องล้วนมีประวัติและความสำคัญที่น่า สนใจ ได้แก่ กลองโบราณขนาดใหญ่ ระนาด ฆ้อง และซอสามสาย ซึ่งเจ้าชายอาโลอิส มกุฎราชกุมารแห่งราชรัฐลิกเตนสไตน์ เสด็จมาทอดพระเนตรที่วังสวนผักกาดแห่งนี้ด้วย

ก่อนจะไปปิดท้ายเส้นทางตามรอยฯ กันที่สวนลุมไนท์บาซาร์ ไปเดินชอปปิ้งยามค่ำคืนกันที่ตลาดนัดกลางคืนของคนเมืองกรุงที่มีสินค้าให้ เลือกซื้อหลากหลาย ทั้งเสื้อผ้า ของประดับ ของแต่งบ้าน งานฝีมือไอเดียบรรเจิดมากมายมารวมไว้

และที่ไม่อยากให้พลาดก็คือ ต้องมาชม "นาฏยศาลา หุ่นละครเล็ก" หรือรู้จักกันดีในชื่อ "โจหลุยส์ เธียเตอร์" ที่เพิ่งไปคว้ารางวัลการแสดงทางวัฒนธรรมยอดเยี่ยมมาได้สดๆ ร้อนๆ ที่กรุงปราก ประเทศสาธารณรัฐเชก ในปี 2549 นี้เอง

ก็เป็นอันจบเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยพระราชอาคันตุกะแต่เพียงเท่านี้ แต่ขอบอกว่านี่เป็นเพียงเส้นทางบนบกเท่านั้น แต่ยังมีอีกเส้นทางหนึ่งที่เป็นเส้นทางตามรอยทางน้ำ แต่จะไปตามรอยที่ไหนบ้างนั้นต้องรอดูกันตอนหน้าแล้วล่ะ

สนใจสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเส้นทางท่องเที่ยวตามรอยพระราชอาคันตุกะได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โทร.0-2250-5500 ต่อ 3493

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

เที่ยวดอนเมือง ชมเครื่องบินที่ พิพิธภัณฑ์ทัพฟ้า


"เก่าไป ใหม่มา" ถือเป็นเรื่องธรรมดาของสรรพสิ่ง

เมื่อสนามบินสุวรรณภูมิเปิดใช้ สนามบินดอนเมืองก็จำเป็นต้องลาโรงไปโดยปริยาย ทิ้งไว้พียงตำนานและความทรงจำ

ฉันเองก็อดใจหายและคิดถึงดอนเมืองไม่ได้ เมื่อสนามบินดอนเมืองกลายเป็นตำนาน ฉันจึงตัดสินใจเดินทางสู่ดอนเมืองเพื่อล่ำลาสนามบินแห่งนี้ พร้อมๆกับเที่ยวในย่านดอนเมืองควบคู่กันไปเสียเลย

เมื่อพูดถึงสนามบินดอนเมืองแล้ว หลายๆคนโดยเฉพาะคุณผู้หญิงก็คงจะนึกถึงแหล่งช้อปปิ้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสนาม บินดอนเมืองนั้นก็คือตลาดแอร์พอร์ต หรือตลาดใหม่ดอนเมือง แหล่งนักช้อปสินค้าแบรนด์เนมจากต่างประเทศทั้งเสื้อผ้าหน้าผมร้องเท้ากระเป๋าเครื่องประดับน้ำหอมมากมายสารพัด หรือจะเลือกช้อปที่ร้านเจ๊เล้งฝั่ง สนามบินก็ได้ ที่นั้นก็มีหลากหลายทั้งเสื้อผ้าหน้าผมขนมนมเนยแปลกตาแปลกยี่ห้อก็มีให้ได้ เลือกซื้อเลือกกิน แต่เมื่อสนามบินย้ายไปแล้วฉันคิดว่าตลาดนักช้อปเหล่านี้อาจจะเงียบเหงาลงก็ เป็นได้

ส่วนอีกที่หนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสนามบินดอนเมืองนั้นก็คือ"วัดดอนเมือง" ซึ่งตั้งอยู่บนเนื้อที่ประมาณ 33 ไร่ วัดดอนเมืองนี้มีฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ และถือเป็นวัดที่เก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่ช่วงสมัยรัชกาลที่ 6

ที่ฉันบอกไว้ว่าวัดแห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสนามบินดอนเมืองก็ตรง ที่ว่า สมัยก่อนบริเวณแถบสนามบินดอนเมืองนี้ชาวบ้านเรียกกันว่า"ดอนอีเหยี่ยว" เพราะมีฝูงเหยี่ยวบินมารวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ วัดดอนเมืองนั้นเดิมชาวบ้านก็เรียกว่า"วัดดอนอีเหยี่ยว" แต่เมื่อมีการย้ายสนามบิน จากสนามบินสระปทุมมายังดอนอีเหยี่ยว และได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นดอนเมือง วัดนี้จึงได้เปลี่ยนชื่อเรียกมาเป็น"วัดดอนเมือง"

วัดดอนเมืองนี้ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญด้านวัฒนธรรมคู่เขตดอนเมือง ภายในวัดมีสถานที่ที่สำคัญ และน่าสนใจมากมายอาทิ พระอุโบสถ ซึ่งก่อสร้างขึ้นใหม่แทนหลังเดิม ที่ชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ด้วยสถาปัตยกรรมไทยทั้งหลัง ภายในประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์จำลอง และภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติไว้อย่างสวยงาม สมฝีมือช่างยุคร่วมสมัยรัตนโกสินทร์

นอกจากพระอุโบสถที่สวยงามแล้ว พระเจดีย์ทองสีเหลืองอร่ามตั้งเด่นเป็นสง่าสามารถมองเห็นได้ชัดเจนแต่ไกล จากฝั่งท่าอากาศยานฯก็สวยงามเช่นกัน ซึ่งพระเจดีย์องค์นี้ได้รับการก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรม สารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สมเด็จพระสังฆราชได้ทรงพระราชทานให้เมื่อปีพ.ศ. 2542 ที่ผ่านมา

ถัดจากพระเจดีย์มีพระวิหารที่ภายในประดิษฐานพระพุทธชินราช และพระพุทธรูปอีกหลายองค์ และยังมีรูปจิตรกรรมฝาผนังซึ่งแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธประวัติที่สวย งาม

เมื่ออิ่มบุญแล้ว ฉันขอไปต่ออารมณ์เหิรฟ้ากันที่ "พิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ" ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพอากาศ โดยทางกองทัพอากาศได้เริ่มจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ.2495 เพื่อรวบรวมและเก็บรักษาอากาศยาน เครื่องสื่อสาร อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ที่เคยใช้ในกองทัพอากาศ ตลอดจนพัสดุเกี่ยวกับการบินที่น่าสนใจ

เมื่อฉันได้ก้าวย่างเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ สิ่งที่ฉันได้เห็นคือเครื่องบินลำใหญ่จอดเรียงรายอยู่หลายลำ สำหรับคนบ้านนอกอย่างฉันที่อยู่ในท้องทุ่งท้องนาขี่แต่วัวแต่ควาย แทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นเครื่องบิน แต่มาวันนี้ฉันได้ใกล้ชิดกับเหล่าเครื่องบินมากมายทำให้ฉันรู้สึกตื่นตาตื่น ใจและตื่นเต้นเป็นที่สุด

อาจจะเป็นเพราะความดีใจอย่างเก็บอาการไม่อยู่ของฉัน ทำให้ ร.ต.หญิงเอื้อมพร ศรสุวรรณ เจ้าหน้าที่ในพิพิธภัณฑ์ เข้ามาทักและอาสานำชมเครื่องบินต่างๆในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ร.ต.เอื้อมพร เล่าว่า เครื่องบินที่จัดแสดงไว้นั้นเป็นเครื่องบินที่ปลดประจำการแล้วทั้งสิ้น และมีอยู่หลายสิบลำ ทั้งแสดงโชว์อยู่นอกอาคารและภายในอาคาร โดยได้แบ่งอาคารแสดงเป็น 5 อาคารด้วยกัน

อาคารแรกจะจัดแสดงประวัติการบินของไทย เครื่องบินที่ออกแบบและสร้างโดยคนไทย และเครื่องบินที่เคยประจำการในกองทัพอากาศหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารที่ 2 จัดแสดงอากาศยานหาดูได้ยาก อาคารที่ 3จัดแสดงอากาศยานปราบปรามผู้ก่อการร้ายในประเทศ อาคาร 4 จัดแสดงเครื่องแบบทหารอากาศ ยุทธภัณฑ์สายสรรพาวุธ อุปกรณ์การบิน ห้องปรับอากาศความดันต่ำ แบบจำลองเครื่องบินเล็ก อุปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ และอาคารสุดท้าย จัดแสดงเฮลิคอปเตอร์และขับไล่ใบพัดรุ่นสุดท้าย

ร.ต.เอื้อมพร พาฉันไปดูเครื่องบินที่เหลือเพียงลำเดียวในโลก มีชื่อว่า "เครื่องบินขับไล่แบบที่ 10 ฮอว์ค 3" (บ.ข.10 Hawk3) เข้ามาในประเทศไทยในปีพ.ศ.2478 เป็นเครื่องบินขับไล่ปีก 2 ชั้น 1 ที่นั่ง สามารถพับฐานล้อได้ ติดอาวุธปืนกลอากาศจำนวน 2 กระบอก ลูกระเบิดใต้ปีกจำนวน 4 ลูก ลูกระเบิดใต้ลำตัวจำนวน 1 ลูก เคยประจำการในช่วงพ.ศ.2478- 2492

เครื่องบินที่เหลืออยู่เพียงลำเดียวในโลกอีกเช่นกันก็คือ "เครื่องบินโจมตีแบบที่ 1 คอร์แซร์" (Corsair V-93 S) ซึ่งเป็นเครื่องบินประเภทตรวจการณ์โจมตีทิ้งระเบิด เข้ามาในประเทศไทยในปีพ.ศ.2477 คอร์แซร์นี้เป็นเครื่องบินที่มีบทบาทการสู้รบทางอากาศครั้งแรกของไทย คือในกรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีนฝรั่งเศส พ.ศ.2483-2484

เครื่องบินโจมตีแบบที่ 1 (บ.จ.1) นี้เป็นแบบ 2 ที่นั่ง ปีก 2 ชั้น ติดอาวุธปืนหน้าแบบวิคเกอร์ 4 กระบอก ปืนหลังแบบวิคเกอร์ 1 กระบอก และลูกระเบิดติดใต้ปีก ใช้ประจำการตั้งแต่ พ.ศ.2477-2493

นอกจากนี้คนไทยเราก็สามารถสร้างเครื่องบินได้เอง โดยในปีพ.ศ. 2470 พันโทหลวงเวชยันต์รังสฤษฏ์ (อดีตผบ.ทบ) ได้ออกแบบและสร้างเครื่องบินทิ้งระเบิดขึ้นใช้ในราชการได้เป็นครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานนามว่า "บริพัตร" (Boripatra) กองทัพอากาศกำหนดแบบเป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบที่ 2 (บ.ท.2)

เครื่องบิน บ.ท. 2 นี้เป็นแบบ 2 ที่นั่ง มีปีก 2 ชั้น กว้าง 44 ฟุต (13.8 เมตร) ยาว 28 ฟุต 9 นิ้ว (8.6286 เมตร) สูง 10 ฟุต 5 นิ้ว (3.127 เมตร) น้ำหนัก 1,845.8 กิโลกรัม บินด้วยอัตราความเร็วสูงสุด 290.7 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใบพัดด้านหน้าทำจากไม้ ดูแล้วทำให้รู้สึกภาคภูมิใจในเครื่องบินสัญชาติไทยแท้ๆลำนี้จริงๆ

อีกทั้ง บ.ท.2 ลำนี้ยังเคยเดินทางไปเยือนต่างประเทศ 2 ครั้งด้วยกัน ครั้งแรกไปเยือนประเทศอินเดียตามคำเชิญของรัฐบาลอินเดีย ในปี พ.ศ.2472 และครั้งที่สองไปเยือนอินโดจีนฝรั่งเศส ที่เมืองฮานอย เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี และนำพวงมาลาไปวางที่อนุสาวรีย์ทหารฝรั่งเศสที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้ง ที่ 1 เมื่อปี พ.ศ.2473 สรุปได้ว่าบ.ท.2ได้ประจำการอยู่ในกองทัพอากาศตั้งแต่ปี พ.ศ.2470-พ.ศ.2483 เป็นเวลาทั้งสิ้น 13 ปี

นอกจากนี้ยังมีเหล่าเครื่องบินอีกหลายสิบลำที่ ร.ต.เอื้อมพร พาฉันไปรู้จัก ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจและภูมิใจในความสามารถในการคิดค้นสร้างสิ่งหนักๆ เหล่านี้ให้สามารถลอยไปในอากาศได้

วันนี้นอกจากฉันจะได้มาเก็บภาพความทรงจำของอดีตสนามบินที่เคยยิ่ง ใหญ่ของประเทศไทยแล้ว ยังได้เที่ยวไปในสถานที่ต่างๆที่น่าสนใจรอบๆสนามบินดอนเมือง สนามบินที่วันนี้กลายเป็นตำนานไปแล้ว

วัดดอนเมือง ตั้งอยู่ที่ริมถนนเชิดวุฒากาศ (ถนนโลคอลโรด) แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ โทร.0-2566-1954

พิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศ ตั้งอยู่ที่ 171 กองทัพอากาศ ถ.พหลโยธิน แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ เปิดให้เข้าชมทุกวันเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ตั้งแต่เวลา 9.00 – 16.00 น. โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม หากต้องการเข้าชมเป็นหมู่คณะและต้องการวิทยากรต้องทำหนังสือขออนุญาตล่วง หน้าก่อนประมาณ 1 อาทิตย์ นอกจากนี้ทางพิพิธภัณฑ์ของกองทัพอากาศยังเปิดสอนการทำโมเดลเครื่องบินด้วย กระดาษโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวันเสาร์และอาทิตย์ สอบถามโทร.0-2534-1764 , 0-2534-1853

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

เดินดินไปดูดินที่" พิพิธภัณฑ์ดิน "


ใครจะรู้บ้างว่าห่างจากแยกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไปไม่ไกล นักเป็นที่ตั้งของกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งแม้ว่าบ่อยครั้งที่ฉันสัญจรผ่านก็ยังไม่เคยเหลียวมองเลยว่าภายในจะมี สิ่งใดน่าสนใจอยู่บ้าง คิดเพียงว่าเป็นสถานที่ราชการเท่านั้น จนเมื่อไม่นานมานี้ฉันก็มีโอกาสผ่านไปย่านนั้นอีกครั้ง และต้องสะดุดตากับป้ายขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้ากรมพัฒนาที่ดินที่ประกาศเชิญ ชวนให้เข้าเยี่ยมชม "พิพิธภัณฑ์ดิน" ฟรี!! ด้วยความใคร่รู้เมื่อสบโอกาสว่างจึงไม่พลาดที่จะแวะชม

พิพิธภัณฑ์ดินแห่ง นี้ตั้งอยู่บริเวณด้านล่างของอาคารที่ทำการกรมพัฒนาที่ดิน เดินตรงเข้าไปในตัวอาคารเลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว สำหรับหนุ่มลูกทุ่งอย่างฉันที่ผูกพันอยู่กับไอดินและกลิ่นโคลนสาบควายมาก่อน นั้น จึงค่อนข้างอยากรู้เป็นพิเศษว่าในพิพิธภัณฑ์จะเป็นเช่นไร เผื่อจะได้นำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ส่งกลับไปให้ญาติพี่น้องนำไปพัฒนาผืนดิน แถวท้องไร่ท้องนาบ้านฉันได้อย่างถูกวิธี

ทันทีที่เข้าไปถึงสิ่งที่ฉันอยากรู้ไม่ใช่เรื่องราวเกี่ยวกับดินซะที เดียว แต่อยากรู้ประวัติความเป็นมาขององค์กรก่อนต่างหากเพราะถ้าไม่มีกรมพัฒนาที่ดินก็ ไม่มีพิพิธภัณฑ์ดินเกิดขึ้นแน่นอน ฉันจึงเดินตรงรี่ปรี่เข้าไปดูประวัติของกรมพัฒนาที่ดินก่อนเป็นลำดับแรก ซึ่งก็มีการบอกประวัติพอสังเขปตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจดินครั้งแรกในประเทศ ไทยเมื่อพ.ศ.2478 และที่มาที่ไปก่อนจะมาเป็นกรมพัฒนาที่ดิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหน่วยงานหลักที่ทำงานด้านการศึกษาสำรวจทรัพยากรดินและ ที่ดิน

ส่วนพิพิธภัณฑ์ดินนั้นถูกสร้างขึ้นเมื่อปี 2545 และเพิ่งได้รับการปรับปรุงล่าสุดไม่นานมานี้ เมื่อเปลี่ยนโฉมแล้วก็ได้เชิญเสด็จสมเด็จพระเทพฯมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นวันครบรอบ 43 ปีการก่อตั้งของกรมพัฒนาที่ดินอีกด้วย

พิพิธภัณฑ์ดินที่ นี่ถือได้ว่าเป็นแห่งแรกในประเทศไทย และมีความทันสมัยสมบูรณ์แบบที่สุดในเอเชีย ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์ดินแห่งนี้นอกจากจะจัดแสดงประวัติความเป็นมาของการก่อ ตั้งกรมพัฒนาที่ดินแล้ว ก็ยังมีมุมสำหรับการแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ในการสำรวจดินยุคแรก ๆ

อาทิ เข็มทิศ จอบ เสียม กล่องอุปกรณ์สนามสำหรับการถ่ายภาพทางอากาศและการสำรวจดิน หรืออย่างสว่านเจาะดิน ที่แยกย่อยออกมาเป็น “สว่านกระบอก” สำหรับใช้เจาะดินร่วนหรือดินทราย “สว่านใบมีด” เพื่อใช้เจาะดินเหนียว หรือจะเป็นชุดวัดปฏิกิริยาดินที่ใช้วัดความเป็นกรดเป็นด่างของดินและเครื่องมืออื่นๆอีกกว่า10ชนิด

เครื่องมือเหล่านี้บอกตามตรงเลยว่าฉันก็เพิ่งเคยเห็น เคยรู้จัก ก็เมื่อได้มาที่นี่บางอย่างถ้าไม่บอกก็ไม่รู้หรอกว่าเกี่ยวข้องกับดินได้ อย่างไร มันทำให้รู้ว่าใต้ฝ่าเท้าที่เรายืนอยู่มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตแค่ไหน ก็อะไรบ้างล่ะที่ไม่ใช้ดินเป็นส่วนประกอบทั้งสร้างบ้าน ปลูกพืชผักผลไม้ ผลิตผลต่างๆ ทุกอย่างล้วนต้องใช้ดินทั้งนั้น เห็นทีกลับออกจากที่นี้ฉันคงต้องขอกลับไปจุดธูปเทียนบูชาพระแม่ธรณีสักหน่อย เป็นไร

สำหรับคนขี้ร้อนก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะข้างในพิพิธภัณฑ์เปิดแอร์เย็น ฉ่ำทีเดียว สามารถเดินดูได้เรื่อยๆ เพลินตาดีด้วยแถมยังได้ความรู้เกี่ยวกับพื้นปฐพีเพิ่มขึ้นด้วย ฉันพอจะจำเรื่องดินในชั่วโมงวิทยาศาสตร์เมื่อครั้นเรียนมัธยมได้บ้าง ที่อธิบายถึงการกำเนิดดินไว้ว่า ดินเป็นสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เกิดจากการสลายตัวผุพังของหินชนิดต่าง ๆ โดยใช้เวลาที่นานมาก หินที่สลายตัวผุกร่อนก็จะมีขนาดต่าง ๆ กัน เมื่อผสมรวมกับซากพืช ซากสัตว์ น้ำ อากาศ ก็กลายเป็นเนื้อดินซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้จะมากน้อยแตกต่างกันไปตามชนิดของ ดิน

ที่นี่มีการนำตัวอย่างดินด้านวิวัฒนาการการสำรวจจำแนกดินของประเทศ ไทยมาจัดแสดงให้ชมด้วย ซึ่งจะบอกถึงการจำแนกดินว่าเป็นดินชนิดใด การกำเนิดของดินชนิดนั้นเป็นอย่างไร ควรอยู่ในสภาพพื้นที่ใด การระบายน้ำดีหรือไม่ พืชพรรณธรรมชาติที่เหมาะสมกับชนิดของดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินปลูกพืชชนิด ใดมีข้อจำกัดใดและมีข้อเสนอแนะต่อสภาพดินในแต่ละชนิดพอสังเขปให้ด้วยซึ่งก็ นับว่ามีประโยชน์มากทีเดียว

เมื่อเดินเข้าไปถึงด้านในสุดของพิพิธภัณฑ์ก็จะพบ การแสดงหน้าตัดชุดดินของไทยตามสภาพภูมิประเทศจำแนกตามกลุ่มชุดดินที่ทางกรม พัฒนาที่ดินได้จัดหมวดหมู่ไว้ตามลักษณะ ศักยภาพ และการจัดการที่คล้ายคลึงกันซึ่งแบ่งดินออกเป็น 62 กลุ่มชุดดิน ซึ่งปัจจุบันพบว่าผลงานนี้มีการนำไปใช้อย่างกว้างขวาง

อย่างเช่น กลุ่มชุดดินที่35 ก็จะมีข้อมูลอย่างชัดเจนระบุว่าเป็นกลุ่มชุดดินที่อยู่ในเขตแห้งแล้ง พร้อมกันนี้ยังมีตัวอย่างกลุ่มชุดดินจากที่ต่างๆในกลุ่มนี้มาในชมอีกด้วย เช่น ชุดดินโคราช ชุดดินห้างฉัตร ชุดดินดอนไร่ ชุดดินวาริน เป็นต้น ทำให้เราได้รู้ว่าสภาพดินในแต่ละพื้นที่มีหน้าตาเป็นอย่างไรซึ่งก็มีครอบ คลุมครบทุกชนิดดิน

ยังมีมุมสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เก็บรวบรวมข้อมูลวิชาการเกี่ยว กับดิน และให้ศึกษาถึงวิธีการปรับปรุงดินทั้ง 62 กลุ่มชุดดิน ที่สามารถสืบค้นหาได้ด้วยตนเองอีกด้วย เรียกว่างานนี้เป็นประโยชน์ทางการเกษตรอย่างคุ้มค่า แม้ว่าพื้นที่นั้นจะเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตต่ำ หรือเป็นพื้นที่ที่มีปัญหาต่อการใช้ประโยชน์ทางด้านการเกษตรก็ตามก็จะมีข้อ แนะนำให้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างของดินเสียทั้งดินเปรี้ยวจัด ดินตื้น ดินเค็ม ดินเป็นทรายจัด ดินกรด ดินพรุ พื้นที่ลาดชันเชิงซ้อน พร้อมกับแผนที่ประเทศไทยที่บ่งชี้ว่า พื้นดินส่วนนี้มีลักษณะของดินเสียที่ควรแก้ไขอย่างไรอีกด้วย อืม...ตอนนี้ฉันเริ่มคิดถึงผืนนาที่บ้านเกิดเสียแล้วสิ ที่ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้นคงเป็นเพราะฉันปลูกพืชไม่เหมาะสมกับชนิดของดินเป็นแน่ แท้

ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือมุมจัดแสดงโครงการอันเนื่องพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงได้รับการยกย่องว่าเป็น “ปราชญ์แห่งดิน” มีภาพและการบรรยายถึงแนวพระราชดำริที่เป็นประโยชน์ในโครงการต่างๆ อาทิ โครงการแกล้งดินที่ทรงให้มีการทดลองทำดินเปรี้ยวจัด โดยการระบายน้ำให้แห้งและศึกษาวิธีแก้ดินเปรี้ยว เพื่อนำผลไปแก้ปัญหาดินเปรี้ยวแก่ราษฎร โครงการหญ้าแฝก เพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน โครงการพัฒนาดินเลว ที่มีพระราชประสงค์ให้มีการฟื้นฟูสภาพดินเพื่อเกษตรกร เป็นต้น

อ้อ!!ใครที่ไม่มีความรู้พื้นฐานเลยก็สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ แล้วก่อนกลับก็อย่าลืมแวะลงทะเบียนด้วยเพื่อว่าจะได้เป็นหลักฐานยืนยันว่า เรานั้นได้มาเที่ยวที่นี้แล้ว ส่วนฉันก็ขอนำความรู้เรื่องดินๆที่ได้วันนี้กลับไปศึกษาเพิ่มเติมก่อนที่จะ เอาไปบอกญาติพี่น้องบ้านนาได้อย่างถูกต้อง

สำหรับผู้สนใจสามารถเข้ามาชม "พิพิธภัณฑ์ดิน" ได้ที่ กรมพัฒนาที่ดิน ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เข้าชมเป็นหมู่คณะและต้องการวิทยากรบรรยายให้ความรู้ ติดต่อที่ฝ่ายเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0-2579-8515

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

เที่ยว “ ท่าเตียน ” ชุมชนเก่าแก่คู่วัดโพธิ์


ตึกเก่าแก่ทรงยุโรปสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่อยู่คู่ท่าเตียนมาช้านาน
เมื่อวันก่อนฉันมีโอกาสได้ไปเดินชมงาน“พิพิธพาเพลิน มหาวิทยาลัยวัดโพธิ์”ที่ วัดโพธิ์หรือวัดพระเชตุพนฯ ซึ่งเป็นงานที่บอกเล่าถึงความเป็นมา ภูมิปัญญาและเกร็ดความรู้ต่างๆเกี่ยวกับวัดโพธิ์และชุมชนท่าเตียนที่เป็น ชุมชนเก่าแก่ที่อยู่คู่กับวัดโพธิ์มาช้านาน

ในงานนี้ฉันได้รู้จักกับคุณลุง“จุล ดุลยวิจิตรเกษม” คนเก่าคนแก่และปราชญ์ท้องถิ่นสำคัญแห่งชุมชนท่าเตียนที่มากไปด้วยความรู้และความทรงจำเกี่ยวกับชุมชนท่าเตียน

และด้วยความติดใจในความเป็นปราชญ์ท้องถิ่นของคุณลุงจุล ในวันรุ่งขึ้นฉันจึงตั้งใจว่าจะกลับไปเดินเที่ยวในท่าเตียนให้หนำใจสักครั้ง โดยนัดหมายให้คุณลุงจุลเป็นไกด์กิตติมศักดิ์พาเที่ยวชมในชุมชนท่าเตียน ซึ่งลุงแกก็ตอบรับด้วยความยินดี

เมื่อเป็นเช่นนี้ในสายของวันถัดมาหลังงานพิพิธพาเพลินฯ ฉันจึงมุ่งหน้าสู่ท่าเตียนในทันที

สัมผัสแรกที่ฉันมาถึงยังชุมชนท่าเตียนก็คือ กลิ่นเหม็นบ้างหอมบ้างของพวกปลาตากแห้งที่ลอยมาเตะจมูกหลังจากที่ฉันเดิน เข้ามาถึงยังท่าเตียน ตลอดฝากฝั่งด้านตลาดท่าเตียนตั้งแต่แยกจากถนนมหาราชเข้ามายังท่าเรือท่า เตียนเต็มไปด้วยบรรดาร้านขายปลาแห้งมากมายที่ทำเอาน้ำย่อยในกระเพาะเกิด คึกคักขึ้นมาอย่างกะทันหัน เพราะถ้าปลาแห้งที่ใครๆว่าเหม็นเหล่านี้ เมื่อเอาไปทอดแล้วละก็ อร่อยเด็ดทีเดียว

และที่จุดนัดหมาย คุณลุงจุลออกมายืนยิ้มเผล่รอฉันอยู่แล้ว

ลุงจุล หรือที่ชาวท่าเตียนรู้จักกันในชื่อเล่นว่า "ลุงจุ่น" เป็นเสมือนองค์ความรู้ที่มีลมหายใจของชุมชนท่าเตียน เนื่องจากคุณลุงจุ่นอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก และเคยได้เรียนรู้ศึกษาอยู่ที่วัดโพธิ์จึงทำให้คุณลุงเป็นผู้ถ่ายทอดเรื่อง ราวของท่าเตียนได้เป็นอย่างดี

คุณลุงเล่าว่า ที่ท่าเตียนแห่งนี้เป็นชุมชนมาตั้งสมัยอยุธยาแล้วเรียกว่าชุมชนบางกอก ในสมัยรัตนโกสินทร์บริเวณท่าเตียนแห่งนี้เคยเป็นตลาดท้ายสนมหรือตลาดท้ายวัง มาก่อน และเป็นตลาดที่มีความคึกคัก มีเรือมาจอดเทียบท่าส่งของและค้าขายกันเต็มท่า ซึ่งนอกจากจะเป็นศูนย์กลางตลาดขนส่งสินค้าทางการเกษตรที่ใหญ่ที่สุด ของกรุงเทพฯแล้ว ยังถือได้ว่าเป็นเมืองท่าที่สำคัญในการคมนาคมทางน้ำอีกด้วย ไม่ว่าใครจะเดินทางไปไหนมาไหน หรือจะไปต่างประเทศก็ตามก็ต้องมาขึ้นลงเรือที่ท่านี้ทั้งสิ้น

และตลอดสองฟากฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก็เต็มไปด้วยเรือนแพของชาวบ้านที่ มาอาศัยอยู่และค้าขายในแถบนี้ จนกระทั่งมาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ทำให้บริเวณท่าเรือ เรือนแพต่างๆ ที่อยู่ริมน้ำ ตลาดท้ายวัง วังของเจ้าขุนมูลนายและบริเวณใกล้เคียง ถูกเผาเรียบเป็นหน้ากลอง จึงสันนิษฐานว่าด้วยเพลิงไหม้ครั้งนี้จึงเป็นมูลเหตุที่มาของชื่อ “ท่าเตียน”

นอกจากนี้ลุงจุลยังเล่าตำนานสนุกๆอีกด้านหนึ่งของท่าเตียนให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยักษ์วัดโพธิ์ที่ดูแลความเรียบร้อยที่วัดโพธิ์ กับยักษ์วัดแจ้งที่ดูแลความเรียบร้อยที่วัดแจ้งหรือวัดอรุณฝั่งตรงข้าม ยังเป็นเพื่อนรักกันมาก วันหนึ่งทางฝ่ายยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน(น่าแปลกที่ยักษ์ก็ต้องใช้เงินเหมือน กัน) จึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้งพร้อมทั้งนัดวันที่จะนำ เงินไปส่งคืน แต่พอถึงวันคืนเงิน ยักษ์วัดโพธิ์กลับเบี้ยวเอาเสียดื้อๆ

ยักษ์วัดแจ้งเมื่อรอแล้วรอเล่าจนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืนแต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้ ในที่สุดจึงเกิดการทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กัน

ด้วยความที่ยักษ์ทั้ง 2 ต่างเป็นยักษ์ที่มีร่างกายมหึมาและมีกำลังมหาศาล เมื่อต่อสู้กันจึงทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตาย ลงหมด หลังจากที่เลิกต่อสู้กันแล้วบริเวณที่ทั้งสองประลองกำลังกันนั้นจึงราบเรียบ กลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย เมื่อพระอิศวรได้ยินเรื่องราวที่ต่อสู้กันทำให้บรรดามนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายในบริเวณนั้นเดือดร้อน จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์ทั้ง 2 กลายเป็นหิน โดยยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ ส่วนยักษ์วัดแจ้งทำหน้าที่ เฝ้าวิหารวัดแจ้งเรื่อยมา

ส่วนฤทธิ์จากการสู้รบของยักษ์ทั้งคู่ที่ทำชุมชนละแวกนี้ราบเรียบเป็นหน้ากลอง ทำให้ชาวบ้านพากันเรียกว่า “ท่าเตียน”เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้

นั่นเป็นตำนานสนุกๆที่ฉันเคยรับฟังมาเมื่อสมัยเด็ก ซึ่งหลังจากที่ท่าเตียนมอดไหม้จนโล่งเตียน(หรือถูกยักษ์ทั้ง 2 ตนสู้รบจนราบเรียบตามตำนาน) ชาวบ้านก็ได้ทำการสร้างตึกขึ้นมาใหม่

โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้สร้างตึกแบบยุโรปขึ้นตรงท่าโรงโม่หรือซอยทางเข้าท่าเรือข้ามฟากท่าเตียน ซึ่งจะสร้างเป็นตัวยูไปทางซอยท่าเรือแดง ส่วนตรงกลางตึกรูปตัวยูคือตลาดท่าเตียน ส่วนตึกที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6 จะอยู่แถวซอยประตูนกยูง แต่ยังมีตึกที่เก่ากว่านั้นตรงใกล้ๆซอยประตูนกยูง ที่เคยเป็นอู่จอดเรือของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิตชิโนรส แถวนั้นจึงมีห้องพักของพวกฝีพาย เป็นอาคารชั้นเดียว 11 ห้อง ที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งสถาปัตยกรรมเก่าแก่เหล่านี้ทางชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ช่วยกัน อนุรักษ์รักษาไว้

นอกจากนี้หลายคนคงไม่รู้ว่าท่าเตียนเป็นแหล่งที่กำเนิดเพลงไทยสำเนียงลาวอันอมตะนั้นก็คือ“เพลงลาวดวงเดือน”หลาย คนอ่านดูอาจจะคุ้นแต่นึกไม่ออก งั้นฉันขอร้องเนื้อเพลงท่อนแรกให้ได้ถึงบางอ้อกันก็แล้วกัน..โอ้ละหนอดวง เดือนเอย พี่มาเว้ารักเจ้าสาวคำดวง โอ้ดึกแล้วหนอพี่ขอลาล่วง อกพี่เป็นห่วงรักเจ้าดวงเดือนเอย…

คุณลุงจุลบอกฉันว่า เพลงลาวดวงเดือนเดิมชื่อว่า เพลงลาวดำเนินเกวียน ซึ่งเป็นเพลงที่ทรงพระนิพนธ์โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม (หรือพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้าชายเพ็ญพัฒนพงศ์) พระราชโอรสองค์ที่ 38 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

ซึ่งแถวท่าเตียนนี้เคยเป็นที่อยู่ของขุนนางและเจ้าขุนมูลนายหลาย พระองค์รวมทั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดมด้วย ต้นเหตุของการนิพนธ์เพลงนี้เนื่องจากว่าครั้งหนึ่งกรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม ได้เสด็จไปยังเชียงใหม่ และเกิดชอบพอกับเจ้าหญิงชมชื่น พระธิดาองค์โตของเจ้าหลวงอินทวโรรสสุริยะวงศ์ เจ้านครเชียงใหม่ ทรงโปรดให้ข้าหลวงใหญ่มณฑลพายัพเป็นเฒ่าแก่เจรจาสู่ขอ แต่ได้รับการทัดทาน ไม่มีโอกาสที่จะได้สมรสกัน ทำให้พระองค์โศกเศร้ามาก และได้ทรงพระนิพนธ์เพลงนี้ขึ้น เพื่อเป็นการระลึกถึงเจ้าหญิงชมชื่น แต่ด้วยเนื้อเพลงมีคำว่าดวงเดือนอยู่หลายคำ จึงได้เรียกเพี้ยนกันมาจนกลายเป็นชื่อเพลงลาวดวงเดือน

ลุงจุลเล่าต่อว่า “แต่ก่อนจะมีร้านขายเหล้าเล็กๆแต่สรรพคุณมากล้น และจะมีนายพลเรือทั้งหลายนิยมมานั่งกินเหล้ายาดองแล้วใช้ริมฟุตบาทถนนฝั่ง ตลาดท่าเตียนเป็นเวทีบรรเลงเพลงไทยกันเป็นประจำ มานั่งตีขิมริมถนน ซึ่งภาพเหล่านั้นหาดูที่ไหนไม่ได้นอกจากที่ท่าเตียน ท่าเตียนจึงเป็นเหมือนจุดศูนย์กลางของวัฒนธรรมในยุคนั้น”

“เมื่อ 50 กว่าปีก่อนสมัยที่ลุงยังเด็กๆ ตลาดท่าเตียนคึกคักมากแทบจะเดินชนกันเลย แถวๆนี้ตรงซอยประตูนกยูงเคยมีร้านทำท็อฟฟี่ทั้งแถวเลย เช้าๆลุงจะตื่นมาดูสาวๆมาเข้าแถวยาวเหยียดเพื่อมารอห่อท็อฟฟี่ บางทีแซงกันแล้วตีกันเองก็มี เราดูแล้วสนุกดี แต่ที่เลิกกันไปเพราะตอนหลังเขาใช้เครื่องจักรทำได้ปริมาณที่เยอะกว่าเร็ว กว่า”

เมื่อวันเวลาผ่านพ้นมา ท่าเตียนแหล่งชุมชนที่เคยเป็นศูนย์รวมทั้งวัฒนธรรม เศรษฐกิจ การคมนาคม ได้ซบเซาลงหลังจากที่เกิดตลาดย่อยขึ้นมาเยอะ และการคมนาคมสะดวกขึ้นคือมีการสร้างถนนทำให้การสัญจรทางน้ำลดบทบาทลง อีกทั้งยังมีกลุ่มทุนจากต่างประเทศเข้ามาสร้างห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ หลังจากตลาดสดย้ายจากท่าเตียนไปอยู่ที่ปากคลองตลาดแล้ว ที่ท่าเตียนก็เหลือแต่ตลาดปลาเค็มกับตลาดโชว์ห่วยหรือร้านค้าของชำที่นับวัน จะยิ่งเหลือน้อยลงทุกที

ปัจจุบันสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ที่ท่าเตียนก็คือความเป็นตลาดปลาแห้ง ซึ่งก็ค่อนข้างที่จะเงียบเหงาผิดกับแต่ก่อน ท่าเรือที่เคยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมทางน้ำก็เหลือเพียงท่าเรือข้ามฟากจาก ฝั่งท่าเตียนไปยังฝั่งวัดอรุณฯ สิ่งปลูกสร้างสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่หลายรัชกาลก็ยังคงมีอยู่บ้างในชุมชนท่า เตียน ซึ่งหากคนที่ไม่รู้จักเรื่องราวประวัติความเป็นมาของชุมชนนี้ก็คงจะไม่ สังเกตและไม่รู้ถึงคุณค่าและความสำคัญของท่าเตียนชุมชนอันเก่าแก่คู่วัด โพธิ์แห่งนี้

เมื่อรู้เรื่องราวของชุมชนท่าเตียนแล้ว ใครอยากจะไปเดินซื้ออาหารแห้งจากทะเลเช่นปลาแห้ง ปลาเค็ม ปลาหมึกแห้งก็สามารถมาจับจ่ายที่ตลาดท่าเตียนได้ ส่วนใครจะมาเดินชมชุนชนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายแห่งอดีตที่ผสมผสานกับความ เป็นปัจจุบันก็สามารถไปสัมผัสกับบรรยากาศเหล่านั้นได้ที่ท่าเตียนได้ หนึ่งในชุมชนเก่าแก่ที่ยังมีลมหายใจ

ท่าเตียน ตั้งอยู่บนถนนมหาราชตรงข้ามกับวัดโพธิ์ และริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มีรถประจำทางผ่านหลายสายอาทิ สาย 1,25,32,44,47, 53,ปอ.44 หากไปทางน้ำมีท่าเรือข้ามฟากท่าเตียน-วัดอรุณ และท่าเรือด่วนเจ้าพระยา

นอกจากข้อสันนิษฐานเรื่องที่มาของ"ท่าเตียน"ว่ามาจากการถูกไฟไหม้ ครั้งใหญ่ในรัชกาลที่ 4 แล้ว ยังมีข้อสันนิษฐานจากนักประวัติศาสตร์บางท่านว่า ท่าเตียนน่าจะมาจากคำว่า"ฮาเตียน" ในภาษาเวียดนาม ซึ่งในอดีตท่าเตียนเคยเป็นชุมชนของชาวเวียดนามมาก่อน