บริการถ่ายภาพสุดประทับใจ

..คลิกที่รูป...บริการถ่ายภาพสุดประทับใจ prewedding รับปริญญา พิธีการต่าง แฟชั่น อีกมากมาย ติดต่อ : 0899274733 msn:tuchkay@hotmail.com

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ล่องคลองบางกอกใหญ่


ล่องคลองบางกอกใหญ่ ชม 2 วัดเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา
หลังจากไปเที่ยวท่องล่อง"คลองบางกอกน้อย"ยลวิถีชีวิตวัฒนธรรมแห่ง ย่านฝั่งธนมาบุรีมาแล้ว อารมณ์ติดใจในบรรยากาศแห่งการเที่ยวคลองในเมืองกรุงฯยังคงคุกรุ่นอยู่ในจิต ใจ เพราะฉะนั้นการออกเที่ยวลุยกรุงในทริปนี้ฉันจึงขอตามต่ออารมณ์เที่ยวคลองกัน ที่"คลองบางกอกใหญ่" อดีตแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมที่มีความเป็นมาน่าสนใจยิ่งหย่อนไปกว่าคลอง บางกอกน้อย

คลองบางกอกใหญ่ หรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า "คลองบางหลวง" ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางแม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่าอันทรงคุณค่าที่ผ่านกาลเวลา แห่งความเปลี่ยนแปลงมาแล้วถึง 3 ราชธานี ตั้งแต่ กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์

ในอดีตลำน้ำสายนี้ได้ทำหน้าที่รับใช้ชาติมาแล้วมากมาย เป็นทั้งเส้นทางเดินทัพ เส้นทางลำเลียงเสบียงอาหาร รวมถึงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์สำคัญที่น่ายกย่อง ก็คือ เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 บ้านเมืองถูกพม่าเผ่าทำลาย พระยาตากในขณะนั้นได้รวบรวมกำลังพลและต่อเรือรบกว่า 100 ลำ จัดทัพเรือย้อนกลับมาทางปากอ่าวสู่แม่น้ำเจ้าพระยา รุกเข้าตีทัพพม่า และกอบกู้เอกราชจนสำเร็จ

หลังจากกู้เอกราชได้แล้ว พระองค์ก็ได้สถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช และสร้างราชธานีธนบุรีขึ้นบนเกาะที่เกิดจากการขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งก็คือพื้นที่เขตบางกอกใหญ่ในปัจจุบัน รวมทั้งพระราชทานที่ดินริมฝั่งน้ำแก่เจ้านาย และขุนนางข้าหลวงแผ่นดินในสมัยนั้น อันเป็นที่มาของ"คลองบางหลวง" เพราะตั้งอยู่ริมวังหลวง ซึ่งปัจจุบันก็คือคลองบางกอกใหญ่นั่นเอง

สำหรับการล่องเรือชมคลองอีกครั้งในทริปนี้ ฉันเริ่มต้นขึ้นที่ท่าเรือเดิมนั่นก็คือท่าเรือ"ท่าช้าง"หลังเรือนำเที่ยว เคลื่อนออกจากท่า ฉันมองเห็นพระปรางค์วัดอรุณฯตั้ง โดดเด่นริมฝั่งน้ำ ความงามของพระปรางค์แห่งนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไกลไปทั่วโลก จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์แห่งสยามประเทศ และเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นแห่งฝั่งธนฯ

ถัดจากวัดอรุณฯเรือนำเที่ยวเลาะแล่นไปตามสายน้ำไหลเอื่อย ผ่านป้อมวิไชยประสิทธิ์และพระราชวังเดิม ที่เคยเป็นที่ประทับของพระเจ้าตากสินฯ มุ่งหน้าเข้าสู่เขตคลองบางกอกใหญ่ ซึ่งในช่วงนี้ฉันได้เห็นร่องรอยอดีตอันยิ่งยง จากสิ่งปลูกสร้างและอาคารบ้านเรือนที่ตั้งอยู่เรียงรายริมสองฝั่งคลอง

โดยบ้านเรือนส่วนหนึ่งยังคงเป็นบ้านโบราณที่มีบริเวณกว้างขวาง ซึ่งล้วนต่างเป็นบ้านที่สืบเชื้อสายมาจากขุนนางข้าราชการหรือผู้ที่มีฐานะ ดีๆจากสมัยธนบุรีจนถึงยุครัตนโกสินทร์

ไม่ใช่แค่บ้านเรือนเท่านั้นที่เป็นเงาสะท้อนถึงอดีตแห่งคลอง บางกอกใหญ่ แต่ที่คลองแห่งนี้ยังมีวัดวาอารามเก่าแก่เป็นอีกหนึ่งภาพสะท้อนเรื่องราว แห่งอดีตที่นับวันได้ถูกความเจริญทางวัตถุแห่งโลกทุนนิยมโจมตีอย่างต่อ เนื่อง

"วัดปากน้ำภาษีเจริญ" ถือเป็นจุดแรกที่ฉันแวะขึ้นฝั่ง สำหรับวัดแห่งนี้มีประวัติคร่าวๆว่า เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ก็ได้รับการบูรณะปฎิสังขรณ์มาอย่างต่อเนื่อง โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ได้มีพระบรมราชานุญาตให้ทำการบูรณะวัดปากน้ำฯครั้งใหญ่เกือบทั้ง อาราม

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 วัดปากน้ำได้ชำรุดทรุดโทรมลง และขาดเจ้าอาวาสประจำวัด ทางเจ้าคณะปกครองจึงได้ส่ง พระสมุห์สด จนทสโร(หรือที่เรียกกันว่าหลวงพ่อสด) จากวัดพระเชตุพนฯหรือวัดโพธิ์มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งหลวงพ่อสดมีชื่อเสียงมากในเรื่องวิปัสสนา ท่านจึงเป็นผู้ดูแลเรื่องการศึกษา ปฏิบัติธรรม จนกลายเป็นที่นับถือของคนทั่วไป กระทั่งหลวงพ่อสดมรณภาพลงจึงได้นำร่างมาบรรจุในโลงตั้งไว้ที่วัด และทำหุ่นขี้ผึ้งขนาดองค์จริงให้ประชาชนได้สักการบูชา

เนื่องจากหลวงพ่อสดเป็นผู้ปลุกเสกหลวงพ่อวัดปากน้ำรุ่นแรกๆ โดยทำจากเนื้อดินเผา พระเครื่อง พระผง ในการทำพระผงจะนำดินที่เป็นมงคลจากสถานที่ต่างๆหลายๆที่เอามารวมกัน แล้วทำพิธีกรรมประกอบขึ้นมา จึงมีเรื่องเล่ากันว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำรุ่นหนึ่งนั้น ท่านจะเลือกผู้ที่มาเป็นเจ้าของด้วยตัวเอง ถ้าผู้นั้นมีบุญพอหลวงพ่อวัดปากน้ำรุ่นหนึ่งก็จะไปปรากฏหรือทำให้ผู้นั้นพบ เจอ แต่ถ้าผู้ที่ได้เป็นเจ้าของหมดบุญหรือทำผิดศีลผิดธรรม หลวงพ่อวัดปากน้ำรุ่นหนึ่งจะเดินทางกลับมาหาท่านเอง เรื่องนี้จะจริงหรือเท็จอย่างไรฉันไม่อาจรู้ได้ รู้แต่ว่าไม่ลบหลู่เป็นดีที่สุด

ในวัดปากน้ำมีคนมากมายมานั่งกราบไหว้ปิดทององค์หลวงพ่อสด ซึ่งฉันก็ไม่รอช้าขอเข้าไปจุดเทียนจุดธูปนั่งลงน้อมกราบองค์หลวงพ่อสดเพื่อ ความสิริมงคลกับเข้าด้วยอีกคน หลังจากไหว้เสร็จฉันนำดอกไม้ไปวางบนพานที่มีดอกไม้ดอกบัววางไว้จนล้น จากนั้นจึงไปปิดทองที่รูปหล่อหลวงพ่อสดที่เป็นสีทองอร่ามสุกใส ก่อนที่จะขึ้นไปกราบร่างหลวงพ่อสดที่บรรจุในโลง และหุ่นขี้ผึ้งจำลองพร้อมๆ กับพุทธศาสนิกชนอีกหลายๆคน หลังจากนมัสหลวงพ่อสดในวัดปากน้ำแล้ว ฉันก็ออกเดินเท้าต่อไปยังวัดอัปสรสวรรค์ฯ ที่อยู่ใกล้ๆกัน อย่างไม่รอรี

"วัดอัปสรสวรรค์" มีชื่อเต็มว่า"วัดอัปสรสวรรค์วรวิหาร"วัดนี้ถือเป็นวัดระดับ“อันซีนบางกอก” เพราะมีความพิเศษตรงที่ คาดว่าจะเป็นวัดหนึ่งเดียวในโลกที่มีพระประธานในพระอุโบสถถึง 28 องค์ ที่ถือว่าน่าสนใจเป้นอย่างยิ่ง

สำหรับประวัติคร่าวๆของวัดนี้มีอยู่ว่า เป็นวัดที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมเรียกว่า"วัดหมู" สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างให้กับชาวจีนชื่อ"อู๋" ที่มีอาชีพเลี้ยงหมู เพราะเดิมนั้นบริเวณวัดแห่งนี้มีคนเลี้ยงหมูกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีหมูที่คนเอามาปล่อยที่วัดอีกต่างหาก ทำให้วัดนี้มีหมูเดินเพ่นพ่านอยู่เต็มวัด ชาวบ้านจึงเรียกขานกันว่า"วัดหมู"

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 มีเจ้าจอมองค์หนึ่งชื่อว่าเจ้าจอมน้อย เห็นว่าวัดหมูทรุดโทรมมาก จึงกราบบังคมทูลพระกรุณาต่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่3 ขอพระบรมราชานุญาตปฏิสังขรณ์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้สถาปนาวัดนี้ใหม่ทั้งวัด และพระราชทานนามว่า "วัดอัปสรสวรรค์" เพื่อเป็นที่ระลึกแด่เจ้าจอมน้อย ซึ่งมีความสามารถในการแสดงละครเรื่องอิเหนา เป็นตัวสุหรานากงได้ดี จนได้รับฉายาว่า เจ้าจอมน้อยสุหรานากง

เมื่อฉันเดินผ่านซอยเล็กๆที่จนทะลุไปถึงวัดอัปสรสวรรค์แล้ว สิ่งที่สะดุดตาก็คงจะเป็นพระปรางค์ ที่ตั้งอยู่ตอนหน้าพระอุโบสถ เป็นพระปรางค์สีขาว(หม่น)ดูเก่าแก่ก่ออิฐถือปูน 1 องค์ สูงราว 15 วา หลังจากชมพระปรางค์แล้วก็เข้าไปไหว้พระประธานในพระอุโบสถสักหน่อยดีกว่า

หลังจากที่ก้าวเท้าเข้ามาในพระอุโบสถ สิ่งที่ทำให้ฉันแปลกใจอย่างมากก็คือพระประธาน ฉันไปวัดไหนๆก็จะเห็นแต่พระประธานองค์โต ตั้งตระง่าอยู่กลางพระอุโบสถ แต่สิ่งที่สองตาของฉันจับภาพได้ กลายเป็นพระประธานองค์เล็กที่นับจำนวนได้ถึง 28 องค์ มีสีทองสุกใส พระพุทธรูปทั้ง 28 องค์เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยทั้งหมดตั้งอยู่บนฐานชุกชีเดียวกันลดหลั่นกัน พระประธานแต่ละองค์มีหน้าตักกว้าง 1 ศอก สูง 1 ศอก4นิ้ว

หลายคนคงสงสัยว่าทำไมภายในพระอุโบสถถึงมีพระประธานหลายองค์ แล้วพระประธานแต่ละองค์คืออะไร พระประธานแต่ละองค์หมายถึงพระพุทธเจ้าที่เกิดขึ้นในชาติภพต่างๆแล้ว 27 พระองค์ ส่วนองค์ที่ประดิษฐานอยู่หน้าสุดคือพระพุทธโคดม ที่เป็นพระศาสดาองค์ปัจจุบัน รวมทั้งหมด 28 พระองค์ และที่ฐานพระพุทธรูปมีพระนามจาลึกด้วยงาช้างทุกพระองค์

ฉันนั่งกราบไหว้พระประธานและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเรียบร้อยแล้ว ก็ได้นั่งสงบใจชมความสวยงามภายในพระอุโบสถต่ออีกสักครู่ใหญ่ เพียงแค่นี้ฉันก็รู้สึกสดชื่นและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เรียกได้ว่าเมื่อมาเที่ยววัดชมคลองบางกอกใหญ่แล้ว หากปลดปล่อยหัวใจและจินตนาการไปกับลำคลองสายประวัติศาสตร์ งานนี้ไม่มีวันพลาดกับบรรยากาศเพลินกายสบายใจแน่นอน

สอบถามข้อมูลเที่ยวคลองบางกอกใหญ่เพิ่มเติมได้ที่กองการท่องเที่ยวกรุงเทพ มหานคร โทร. 0-2225-7612-4

วัดปากน้ำฯ ตั้งอยู่ที่ แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 10160 โทร.0-2467-0811 , 0-2457-9042

วัดอัปสรสวรรค์ฯ ตั้งอยู่ที่แขวงปากคลองภาษีเจริญ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร 10160 โทร.0-2467-5392 , 0-2458-0917 พระอุโบสถเปิดให้เข้าชมได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. หากประสงค์จะเข้าชมวันจันทร์-ศุกร์ต้องโทรศัพท์แจ้งทางวัดเป็นกรณีพิเศษ

สำหรับผู้ที่สนใจล่องเรือเที่ยงคลองบางกอกใหญ่ชมวัด สามารถรวมกลุ่มมาติดต่อที่เรือมิตรเจ้าพระยา ท่าช้าง (เรือจุได้ประมาณ 40 คน)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น