บริการถ่ายภาพสุดประทับใจ

..คลิกที่รูป...บริการถ่ายภาพสุดประทับใจ prewedding รับปริญญา พิธีการต่าง แฟชั่น อีกมากมาย ติดต่อ : 0899274733 msn:tuchkay@hotmail.com

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ยลยอดศิลปะไทย ที่ "วัดเบญจมบพิตร"


วันมาฆบูชาที่ใกล้จะถึงนี้ (13 ก.พ.) ฉันรู้ว่าหลายคนคงดีใจที่จะได้มีวันหยุดเพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่ง แต่ในเมื่อเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธทั้งที จะหยุดอยู่บ้านเฉยๆ ก็ใช่ที่ ต้องออกมาทำบุญด้วยจึงจะถูก แต่ถ้ายังไม่รู้จะไปทำบุญที่ไหน ฉันขอแนะนำให้มาที่ "วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม" วัดกลางเมืองตั้งอยู่ใกล้กับทำเนียบรัฐบาล ที่นอกจากจะได้มาทำบุญแล้วก็ยังจะได้ชม "สถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบของศิลปะไทย"อีกด้วย

สำหรับชาวต่างชาติแล้ว จะรู้จักวัดเบญจมบพิตรนี้ในชื่อของ "The Marble Temple" หรือวัดหินอ่อนอันงดงามที่ใครๆ ต่างก็อยากมาชม เพราะฉะนั้น ฉันจึงไม่แปลกใจเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในวัดเบญจฯ แล้ว ได้พบกับนักท่องเที่ยวหลายเชื้อชาติ มากหน้าหลายตา กำลังเดินชมวัดบ้าง ตั้งท่าถ่ายรูปอยู่บ้างเต็มไปหมด

ก่อนที่จะได้ทราบว่าวัดเบญจฯ นี้มีสุดยอดสถาปัตย์อยู่ตรงไหน มาทราบประวัติของวัดกันก่อนดีกว่า หลายคนเข้าใจผิดว่า วัดเบญจมบพิตร เป็นวัดประจำพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จริงๆ แล้ววัดราชบพิตรสถิตมหาสีมารามต่างหากที่เป็นวัดประจำรัชกาลของท่าน แต่ทั้งนี้วัดเบญจมบพิตรก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีความผูกพันกับพระองค์ ท่านอย่างมากเช่นกัน

วัดเบญจมบพิตร เดิมชื่อว่าวัดแหลม หรือวัดไทรทอง วัดแห่งนี้เคยเป็นกองบัญชาการกองทัพในพระนคร เมื่อครั้งที่เจ้าอนุวงศ์ผู้ครองนครเวียงจันทน์ยกกองทัพมาตีไทยในพ.ศ.2369 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯให้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ เป็นผู้บัญชาการกองทัพที่วัดแห่งนี้

และเมื่อการปราบกบฏเสร็จสิ้นลง พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พร้อมด้วยพระเชษฐภคินี พระขนิษฐภคินี และพระกนิษฐภาดา ร่วมเจ้าจอมมารดาทั้งหมด 5 พระองค์ ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ขึ้น และมาถึงในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทรงเปลี่ยนชื่อเป็น "วัดเบญจบพิตร" ซึ่งมีความหมายว่าเป็นวัดของเจ้านาย 5 พระองค์

ต่อมาในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างสวนดุสิตและพระราชวังดุสิตเพื่อเป็นที่ ประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถ การสร้างพระราชวังนั้นได้กินพื้นที่ของวัดดุสิต และวัดร้างอีกแห่งหนึ่งในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วจะต้องสร้างวัดทดแทน ดังนั้น พระองค์จึงมีพระราชประสงค์จะ "ผาติกา" หรือสถาปนาวัดเบญจบพิตร วัดใกล้เคียง ซึ่งในขณะนั้นชำรุดทรุดโทรมอยู่ขึ้นมาแทน เมื่อสถาปนาขึ้นแล้วได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดเบญจมบพิตร" อันมีความหมายว่า วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ 5

เอาล่ะ... ทีนี้ก็มาถึงตรงที่ว่า วัดเบญจมบพิตร ถือเป็น"สถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์แบบ" อย่างไร ก่อนอื่นฉันต้องบอกชื่อของสถาปนิกผู้ที่ออกแบบแปลนแผนผังของวัดเสียก่อน ท่านมีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้ซึ่งทรงได้รับยกย่องว่าเป็น "นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม" พระองค์ได้ทรงออกแบบพระอุโบสถและพระระเบียงอย่างวิจิตรงดงามด้วยแบบอย่าง ศิลปะและสถาปัตยกรรมไทยโบราณ โดยพระอุโบสถของวัดเบญจมบพิตรนั้นเป็นแบบจตุรมุข มีพระระเบียงโอบรอบด้านหลัง ถือเป็นพระอุโบสถที่สร้างได้สัดส่วนสวยงามเป็นอย่างยิ่ง

และสิ่งที่ช่วยเสริมความงดงามยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ ผนังของพระอุโบสถแทนที่จะเป็นลวดลายประดับกระจก หรือกระเบื้องเหมือนวัดอื่นๆ ก็กลับประดับด้วยหินอ่อนอย่างดีที่ส่งตรงมาจากประเทศอิตาลี แลดูสะอาดตา และด้านหน้าพระอุโบสถมีสิงห์สลักหินอ่อนอยู่สองตัวนั่งคุมสองข้างบันไดอยู่ ดูน่าเกรงขามมิใช่น้อย สิงห์ทั้งสองตัวนี้ ขุนสกลประดิษฐ์ ช่างในกรมช่างสิบหมู่ เป็นผู้ปั้นแบบตามภาพที่สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงเขียนขึ้น

ด้านในพระอุโบสถมีพระประธานคือพระพุทธชินราช ซึ่งจำลองมาจากพระพุทธชินราชองค์จริงที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ในตอนแรกนั้นรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริจะอัญเชิญพระพุทธชินราชองค์จริงจากเมืองพิษณุโลกมาประดิษฐาน เป็นพระประธานในพระอุโบสถ แต่ชาวเมืองพิษณุโลกได้แสดงความหวงแหน เพราะพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกอีกสององค์ก็ได้ถูกอัญเชิญลงมายังพระนคร แล้ว จึงได้กราบบังคมทูลยับยั้ง พระองค์จึงโปรดฯ ให้ช่างหล่อรูปจำลองของพระพุทธชินราชมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ นี้แทน

ด้านในพระอุโบสถนี้มีสิ่งที่แตกต่างไปจากวัดอื่นๆ ที่ฉันเคยเห็น นั่นก็คือบนฝาผนังไม่ได้มีงานจิตรกรรมเป็นรูปพุทธชาดก หรือเรื่องรามเกียรติ์อย่างที่นิยมกัน แต่เป็นลวดลายเทพนมพุ่มข้าวบิณฑ์สีเหลืองบนพื้นขาว และที่พิเศษก็คือ มีภาพของพระธาตุและเจดีย์ที่สำคัญๆ ทั่วประเทศอยู่ตามช่องคูหา ฉันเดินชมรอบๆ แล้วก็เห็นว่ามีทั้งหมด 8 องค์ด้วยกัน คือ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม พระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน พระศรีรัตนมหาธาตุเมืองเชลียง และพระมหาธาตุที่วัดช้างล้อม เมืองศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย พระมหาธาตุเมืองละโว้ จังหวัดลพบุรี พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม พระเจดีย์ชัยมงคลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพระมหาธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราช

ขนาดของพระอุโบสถวัดเบญจฯ นั้นไม่ใหญ่โตนักก็จริง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีมาก ก็ทำให้ภายในอุโบสถแคบไปถนัด ฉันเดินหลบนักท่องเที่ยวในพระอุโบสถออกมาสู่พระระเบียงด้าน หลัง ความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งของวัดเบญจฯ ก็อยู่ที่พระระเบียงนี้ เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงตั้งพระราชหฤทัยจะให้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมพระพุทธรูปโบราณสมัยต่างๆ และปางต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นทั้งในและต่างประเทศ แสดงให้ประชาชนได้ชม

พระพุทธรูปเหล่านี้ มีทั้งที่เป็นพระพุทธรูปโบราณ และเป็นพระพุทธรูปที่ใช้วิธีหล่อขยาย หรือย่อส่วนจากตัวอย่างของโบราณ นอกจากนั้นยังมีทั้งพระพุทธรูปที่นำมาจากในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างๆ รวมทั้งมาจากต่างประเทศ อย่างเช่นญี่ปุ่น อินเดีย พม่า และลังกาอีกด้วย สำหรับพระพุทธรูปจากอินเดีย หรือพม่า อาจจะแยกแยะไม่ออก แต่ถ้าเป็นพระพุทธรูปของญี่ปุ่นละก็จะสังเกตได้ทันที เพราะจะมีสัญลักษณ์อยู่ที่แต่ละองค์จะมีดวงอาทิตย์ส่องแสงอยู่ตรงพระเศียร

ไม่ใช่แต่เพียงเท่านี้ แต่ที่วัดเบญจฯ ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมาก หากเดินออกมาทางด้านข้างของพระอุโบสถ จะเจอกับสะพานข้ามคูน้ำสีแดงอยู่สามสะพานด้วยกัน มีชื่อว่า สะพานพระรูป สะพานถ้วย และสะพานงา ข้ามสะพานไปแล้วจะเจอกับพระที่นั่งสองหลัง คือพระที่นั่งทรงผนวช และพระที่นั่งทรงธรรม

สำหรับพระที่นั่งทรงผนวชนั้น รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดฯ ให้รื้อจากพุทธรัตนสถาน ที่สวนศิวาลัย ภายในพระบรมมหาราชวังมาไว้ที่นี่เพื่อเป็นกุฏิเจ้าอาวาส โดยยังรักษารูปแบบเดิมไว้ โดยภายในพระที่นั่งทรงผนวช มีพระแท่นบรรทม พระบรมรูปเมื่อทรงผนวช พระบรมรูปสลักหินอ่อน พระพุทธรูป พระเสลี่ยงน้อย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเพื่อเป็นธรรมาสน์แสดงธรรมและแสดงพระปาติโมกข์ครั้งแรกในวัดเบญจม บพิตร และภายในยังมีภาพเขียนเกี่ยวกับพระราชประวัติของรัชกาลที่ 5 ไว้ด้วย สำหรับพระที่นั่งองค์นี้จะเปิดให้เข้าชมก็เฉพาะวันที่ 23 ตุลาคมเท่านั้น แต่ถ้าใครจะมาชมเป็นหมู่คณะก็ลองติดต่อขอเข้าชมเป็นพิเศษได้

ได้ทั้งไหว้พระทำบุญ ได้ทั้งชมความงดงามของสถาปัตยกรรมชิ้นเอกไปในคราวเดียวอย่างนี้ ก็ไม่ควรพลาดชม ที่ "วัดเบญจมบพิตร"

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ 69 ถนนพระราม 5 แขวงจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 โทร.0-2282-2667, 0-2281-7825, 0-2282-5591 เวลาเปิดปิด 8.00-17.00 น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น